เป็นเวลา 2 ปีกว่าแล้วที่ทั่วโลกยังจมอยู่กับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และตอนนี้หลาย ๆ ประเทศรวมถึงไทยก็กำลังเตรียมแผนการจะให้ “โควิด-19″ เป็น “โรคประจำถิ่น”
แม้ว่าที่ผ่านมาจะดูเหมือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นจากอัตราผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง แต่สุดท้ายก็ไม่จบ เพราะเชื้อไวรัสของโรคโควิด-19 เกิดการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา
ทำให้หลายประเทศเริ่มมองหาวิธีการจัดการกับเจ้าไวรัสตัวนี้อย่างจริงจัง และหนึ่งในวิธีซึ่งพูดถึงกันมากคือ การเปลี่ยนวิธีรับมือกับปัญหาใหม่ด้วยวิธีการจัดการให้โรค “โควิด-19” กลายเป็น “โรคประจำถิ่น” หรือ “Endemic” ไปเสีย
การกลายเป็นโรคประจำถิ่น นั้นจริงๆ หมายถึงอะไรกันแน่ และมีเหตุปัจจัยใดที่เร่งให้หลายประเทศต้องตัดสินใจออกมาเช่นนั้น
พี่ทุยหาคำตอบมาให้แล้ว
โรคประจำถิ่น หรือ Endemic คืออะไร ? ทางแก้วิกฤต โควิด-19 ?
การกลายสถานะเป็น “โรคประจำถิ่น” ของโรคโรควิด-19 ไม่ได้หมายความว่าเจ้าโรคนี้ได้หายไปจากโลกนี้แล้ว เพราะการระบาดยังคงมีอยู่เช่นเดิมอยู่และจพดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน เหมือนดังเช่น โรคดเอดส์ และโรคมาลาเรียที่คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกต่อปีไปเป็นจำนวนมาก เพียงแต่เรานมาเปลี่ยนมุมมองและวิธีการรับมือกับปัญหาเท่านั้น
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า จากเดิมที่มุ่งจัดการกับโควิด19 ด้วยวิธีการแบบ “ประกาศภาวะฉุกเฉิน” มีการปิดเมือง และจำกัดการเดินทางของประชาชนหมู่มาก ก็กลายเป็น “การควบคุมแบบปกติ” โดยไม่ใช้มาตรการเหวี่ยงแห โดยไปปิดทั้งประเทศ หรือ ทั้งเมืองแบบที่ทั่วโลกทำมาตลอด 2 ปี แต่หันมามุ่งเน้นการรักษาพยาบาลแบบเฉพาะรายไปเหมือนโรคไข้หวัดธรรมดาที่ป่วยก็รักษา
ซึ่งพี่ทุยคิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้พวกเราสามารถเดินหน้าใช้ชีวิตกันต่อไปได้ เศรษฐกิจ การค้าการขายจะได้เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปกติกันเสียที
ที่มาของสถานะโรคระบาด หรือ Pandemic
โรคโควิด-19 มีสถานะกลายเป็นโรคระบาดระดับโลกอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน มี.ค. 2563 แม้ว่าการระบาดที่แท้จริงจะก้าวล้ำไปไกลกว่านั้นมากแล้ว
ซึ่งจนถึงปัจจุบันโรคโควิด-19 ได้คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปแล้วกว่า 4.7 ล้านราย และมีผู้ติดเชื้อจากโรคดังกล่าวไปแล้วมากกว่า 228 คนจากจำนวนประชากรทั่วโลกทั้งหมดเกือบ 8 พันล้านคน
ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศยังคงตัดสินใจเลือกใช้มาตรการที่เข้มข้นในการรับมือกับโควิด-19 แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับสิ่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง จนนำไปสู่ปัญหาการว่างงานและจำนวนคนยากจนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
อ่านเพิ่ม
- ทำไมไทย “ฟื้นตัวจากโควิด-19” ช้าที่สุดในโลก ?
- เศรษฐกิจโลกมูฟออนจากโควิด-19 แล้ว เราควร “ลงทุนอะไรดี” ?
หลายชาติแห่ปรับวิธีรับมือ
จนถึง ณ ตอนนี้ ปี 2022 เวลาก็ล่วงเลยไป 2 ปีกว่าแล้ว อีกทั้งจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในหลายประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นแล้ว จึงเริ่มมีหลายประเทศเริ่มคิดเปลี่ยนวิธีการรับมือโรคโควิด-19 เป็นแบบโรคประจำถิ่นกันแล้ว เช่น สเปน โปรตุเกส และอังกฤษ รวมถึงไทยเราด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลสเปนยังเสนอให้สหภาพยุโรป (EU) เริ่มทบทวนกับวิธีการรับมือกับโรคดังกล่าวได้แล้ว หลังจากที่ยอดการเสียชีวิตลดลง
เช่นเดียวกับในไทย ก็มีการวางแผนผลักดันให้ โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเหมือนกันกัน ตามผลที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565
ได้มีหลักเกณฑ์และค่าเป้าหมายชี้วัดให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น เช่น ผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 10,000 ราย/วัน อัตราป่วย-ตาย น้อยกว่า 0.1% การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่า 10% และประชาชนมีภูมิต้านทานเพียงพอ กลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้วัคซีนอย่างน้อย 2 โดส มากกว่า 80% เป็นต้น
และในที่ประชุมครั้งนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขไปบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่โรคประจำถิ่นภายในปี 2565 นี้ โดยต้องคำนึงถึงเรื่องการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงสถานการณ์โลก ที่เป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย แต่กล่าวต่อว่า ไทยคงไม่ต้องรอให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศก่อน เพราะขณะนี้ประเทศเราได้ดำเนินมาตรการหลายด้านไปก่อนแล้ว
ถ้าหากสถานการณ์เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด กระทรวงสาธารณสุขจะมีการพิจารณาและประกาศให้ประชาชนทราบอีกครั้ง
ซึ่งนับว่าสวนทางกับข้อแนะนำของ WHO อย่างสิ้นเชิง เพราะองค์กรด้านสาธารณสุขของโลกเน้นย้ำว่ายังไม่ควรด่วนสรุปว่าโรคโควิด-19 ควรรับมือด้วยวิธีการจัดการแบบโรคประจำถิ่น และประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้เสียชีวิตหรือผู้ป่วยที่จะเพิ่มหรือลดลง แต่อยู่ที่ความรุนแรงของอาการมากกว่า ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีใครรู้จักกับโควิด-19 อย่างแจ้มแจ้ง เพราะมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอด
พี่ทุยคิดว่าปัจจัยที่บีบคั้นให้หลายประเทศต้องเริ่มเปลี่ยนวิธีการรับมือกับโควิด-19 ก็คือความจำเป็นของปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปากท้องของพี่น้องประชาชนมากกว่า
เพราะหากยังดึงดันรับมือด้วยวิธีแบบเก่า ๆ ต่อไป มีหวังได้เห็นคนอดตาย หรือ ไม่ก็เกิดจลาจลบนท้องถนน กันแน่นอน เพราะที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณเตือนของการประท้วงในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น เนเธอร์แลนด์ รวมถึงไทยเราด้วยที่เริ่มอึดอัดกับภาวะดังกล่าวแล้ว
ดังนั้นพี่ทุยจึงคิดว่าในปี 2565 นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการรับมือกับโควิด-19 อย่างแน่นอน เพราะยังไงเรายังคงต้องเดินหน้าต่อไปกับโรคนี้
ทว่าการกลับมาใช้ชีวิตตามปกตินั้น แต่ละประเทศจะเตรียมแผนสำรอง หรือแผนรับมือวิกฤตในอนาคตได้ดีแค่ไหนหากเกิดการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ หรือ โรคระบาดอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมาในอนาคต
อ่านเพิ่ม