แนวคิดการเงิน

แนวคิดการเงิน จาก 5 ประเทศ ที่เด็กไทยไม่เคยได้เรียน

10 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • นานาชาติปลูกฝังเรื่องเงินตั้งแต่เด็ก: หลายประเทศมีแนวทางการสอนเรื่องเงินให้เด็ก ๆ อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การทำบัญชี การออม การลงทุน ไปจนถึงปรัชญาการใช้เงิน เช่น เดนมาร์กมี “Money Week” ญี่ปุ่นมี “คะเคโบะ” และแอฟริกาใต้มีระบบ “สต็อกเวล”
  • ไทยยังขาดการสอนเรื่องเงินอย่างจริงจัง: เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ประเทศไทยยังขาดการสอนเรื่องการเงินในชีวิตประจำวันที่ชัดเจน ทำให้หลายคนไม่มีเงินเก็บ หรือหวังพึ่งลูกหลานทางการเงิน
  • แต่ละวัฒนธรรมมีแนวคิดต่างกัน แต่สอนเรื่องเดียวกัน: แนวคิดเรื่องเงินของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เช่น อิสราเอลเน้นการบริจาค แอฟริกาใต้เน้นความเมตตาและการแบ่งปัน ในขณะที่อินเดียใช้ “นิทาน” สอนเรื่องเงิน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

คือเราก็เสพสื่อการเงินจากต่างประเทศมาก็เยอะอ่ะนะ แล้วจู่ ๆ พี่ทุยก็สงสัยขึ้นมาว่า เอ๊ะ ? แล้วคนไทยมี แนวคิดการเงิน หรือคำสอนด้านการเงินอะไรให้กับลูกบ้างหว่า ที่แบบเป็นของคนไทยจริง ๆ ไทยแท้ ๆ มาสอนลูก พอมานึก ๆ ดูก็นึกไม่ออก คือมันไม่มีเลย ! เท่าที่จำได้ ในโรงเรียนเราสอนแค่วิชาท่องจำเอาไปสอบ แต่เราไม่เคยสอนวิชาชีวิตในการบริหารเงินเลยแหะ อ่ะ ละเว้นไว้ให้ว่าโรงเรียนสมัยนี้มีเพิ่มหลักสูตรด้านการเงินเข้ามาบ้าง แต่โรงเรียนบางส่วนก็สอนกันแบบขอไปที คนไทยหลายคนเลยไม่มีเงินเก็บ บ้างก็หวังแค่ว่า แก่ไปเดี๋ยวให้ลูกมาเลี้ยง ลูก = ATM ประจำบ้าน แต่ต่างชาติเขาไม่สอนลูกแบบนี้น่ะสิ แล้วแต่ละประเทศเขาสอนอะไรกันบ้าง พี่ทุยยกตัวอย่าง 5 ประเทศนี้ให้ทุกคนอ่านกัน !

 

เดนมาร์ก

จัดเป็นประเทศที่ประชากรมีความรู้ด้านการเงินดีมากระดับโลกเลยฮะ ซึ่งคำสอนที่เขายึดถือกันมาคือ Janteloven หรือ “กฎแห่งยานเต้” ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1933 และยังส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบันจนกลายมาเป็นบรรทัดฐานของสังคมเขาไปแล้ว เป็นปรัชญาในแถบสแกดิเนเวียที่โฟกัสไปที่การพัฒนาความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น สนใจที่ความสำเร็จของแต่ละคน เน้นสอนให้เราใช้ชีวิตแบบสมถะ แบบพอเพียง ไม่ทำอะไรเกินตัว และเท่าเทียมคนอื่น

ซึ่งเขาก็มีกฎจำง่าย ๆ 10 ข้อที่พี่ทุยชอบมาก และคิดว่าเอามาสอนพวกเราก็น่าจะดี

กฎ 10 ข้อ แนวคิดการเงิน ของยานเต้

  1. อย่าคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น
  2. อย่าคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น
  3. อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น
  4. อย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น
  5. อย่าคิดว่าตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น
  6. อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น
  7. อย่าคิดว่าตัวเองเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งกว่าคนอื่น
  8. อย่าหัวเราะเยาะเย้ยคนอื่น
  9. อย่าคิดว่าจะมีใครแคร์คุณเท่าตัวเอง
  10. อย่าคิดว่าตัวเองจะสอนคนอื่นได้ทุกอย่าง

 

และอีกโครงการที่บ้านเขาจัดทำมาดีมากและพี่ทุยก็ชอบมาก ๆ คือ ตั้งแต่ปี 2015 เดนมาร์กเขาจัดวิชาพิเศษขึ้นมาเรียกว่า Money Week ที่เป็นวิชาด้านการเงินโดยเฉพาะให้กับเด็กเกรด 7-9 (ถ้าบ้านเราก็ ม.1-3) โดยมีผู้สอนมาจาก Denmarks National Bank มาทัวร์สอนให้ถึงที่ เพื่อที่ต้องการยกระดับความรู้ด้านการเงินให้กับเด็ก ๆ

ถ้าข้างบนว่าดีแล้ว อันนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะทางธนาคารกลางของเดนมาร์กจัดเต็มเวอร์ ได้ก่อตั้งโครงการให้ความรู้และสอนด้านการเงินในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ เรียกว่ายัดกันตั้งแต่เด็ก สอนกันไปเลยว่าสิ่งของแต่ละอย่างมีมูลค่าอะไรบ้าง เงินมาจากไหน สินเชื่อทำงานยังไง เห็นคุณค่าของเงินว่าสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว การเก็บเงินที่ดีควรเก็บไว้ที่ไหน รวมไปถึงความสำคัญของการอดทนรอให้มูลค่าเงินมันเปลี่ยนไป ซึ่งพี่ทุยเลิฟเวอร์ อยากให้ที่ไทยมีอะไรแบบนี้บ้างจัง

 

แนวคิดด้านการเงิน เดนมาร์ก
ตัวอย่างบทเรียนการสอนด้านการเงินตั้งแต่เด็ก ๆ ของเดนมาร์ก

อิสราเอล

พูดถึงในเรื่องวัฒนธรรมและศาสนากันนิดนึง เพราะในวัฒนธรรมชาวยิวมีการพยายามผสมผสานความเป็นคนยิวเข้ากับการเงิน ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การบริจาคเพื่อการกุศล” หรือ Tzedakah (ศิดาคาร์) ขึ้นมา เป็นวัฒนธรรมและค่านิยมที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเรื่องที่ชาวยิว “ต้องทำ” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยพ่อแม่จะปลูกฝังให้ลูกแบ่งรายได้บางส่วนไปบริจาคช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ แถมยังมีกิมมิกเล็ก ๆ ที่เป็นความเชื่อที่น่าสนใจด้วยว่า เมื่อมีการบริจาคเงินก็จะให้เงินเป็นตัวเลขที่หารด้วย 18 ลงตัว เช่น ให้เงิน 18, 36, 54, 72 เชเกล ซึ่ง 18 มันตรงกับคำว่า Chai ( חי) ในภาษาฮีบรูที่แปลว่า ชีวิต ถ้าจะให้เงินก็คูณ 18 เข้าไป เช่น ให้เงิน 180 เชเกล ก็หมายถึง มีชีวิตเจริญ รุ่งเรือง 10 เท่า อะไรงี้ น่าสนุกดี

ส่วนด้านการเรียนการสอนก็มีโครงการ Israel Youth Financial Literacy Initiative ที่นำโดย Nirit Dror กับ Raffi Amir ที่เขาคิดอยากวางแผนให้เด็ก ๆ รู้จักการวางแผนทางการเงินที่ดีตั้งแต่เด็ก เป็นการผสมผสานระหว่างเกมกับชีวิตจริง มาในรูปแบบเวิร์คชอปให้เด็ก ๆ เห็นกันไปเลยว่าการเงิน การออม การลงทุนมาจากไหน

ส่วนฝั่งรัฐบาลก็ไม่น้อยหน้าใช้หลักสูตร Financial Tastings ที่เป็นโปรแกรมของกระทรวงศึกษาธิการสอนด้านการเงินให้เด็กเกรด 9 โดยมีเวลาเรียน 30 ชั่วโมง ครอบคลุมหัวข้อในใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภคอย่างมีสติ การทำรายรับรายจ่าย งบประมาณ การออม การเข้าใจโฆษณาชวนเชื่อที่อาจทำให้เข้าใจผิด

 

อินเดีย

ฝั่งของประเทศมหาภารตะก็เลือกวิธีปลูกฝังความรู้ด้านการเงินให้กับเด็ก ๆ ด้วยการ “เล่านิทาน” เช่น

  • Mary and the Secret of Savings ที่เป็นหนังสือนิทานความร่วมมือระดับโลกที่มีจุดเริ่มต้นจากเมืองลิสบอน โปรตุเกส ถูกนำมาใช้ในอินเดียเพื่อสอนเด็ก ๆ เรื่องการออมเงิน การวางแผนทางการเงิน
  • Rupaiya-Paisa Series เป็นชุดหนังสือนิทานที่ตีพิมพ์ในอินเดียเอง ที่เน้นสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานทางการเงิน เช่น การออม การใช้จ่าย การทำงบประมาณ
  • Rupee Tales เรื่องเล่าของเงินรูปี เป็นนิทาน 5 เล่ม เกี่ยวกับแนวคิดด้านการเงินที่เรียบง่าย แต่สนุก ช่วยให้เด็ก ๆ เข้าใจหลักการออม การธนาคาร ภาษี ประกัน และตลาดหุ้น

ส่วนไทยที่พี่ทุยเคยเห็นมี ครอบครัวตึ๋งหนืด ที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จริง ๆ อาจจะมีเล่มอื่นอีก แต่พี่ทุยรู้จักแค่นี้จริง ๆ ซึ่งครอบครัวตึ๋งหนืดเองก็เป็นหนังสือการ์ตูนการเงินของเกาหลี ไม่ใช่ของไทยทำซะงั้น

เพิ่มเติมในเรื่องของหลักคำสอน อินเดียยังมีหลักธรรม “ปุรุษารถ” ที่เป็นหลักสมดุล 4 จุดมุ่งหมายของชีวิต ได้แก่

  1. ธรรม (Dharma): การยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เพื่อสร้างสังคมที่สงบสุข
  2. อรรถ (Artha): การแสวงหาทรัพย์สิน เงินทอง และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตด้วยความสุจริตและมีคุณธรรม ไม่เบียดเบียน หรือไปแก่งแย่งขโมยของใครเขามา
  3. กาม (Kama): การรู้จักแสวงหาความสุขทางโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์อย่างเหมาะสม
  4. โมกษะ (Moksa หรือ Spiritual Freedom): การหลุดพ้นจากความยึดติดในโลกธรรมและแสวงหาอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ก็คือไม่ยึดติดกับสิ่งของเงินทอง ฟิล ๆ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้นอกจากจิต

และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแห่งการคิดละก็ ก็คงไม่แปลกใจที่ประเทศนี้จะมีระบบการออมและกู้เงินที่เก่าแก่ของโลกอยู่ด้วย เรียกว่า Chit Fund (ชิตฟันด์) ถูกพูดถึงครั้งแรกในปี 1887 แต่จริง ๆ จุดกำเนิดของมันยาวนานกว่านั้นมาก เป็นกลุ่มการเงินที่อาศัย เพื่อน ญาติ หรือคนในชุมชนเป็นคนจัดการเงินและเป็นหัวหน้าสมาชิก คล้าย ๆ ลงทุนในกองทุนรวม เพื่อเอาเงินไปลงทุนสร้างผลตอบแทน แต่อันนี้ลงทุนแบบชาวบ้านในระยะสั้น ๆ เท่านั้น ใครสนใจลองไปหาอ่านเพิ่มเติมได้นะ รายละเอียดของกองทุนนี้มันเยอะมาก ๆ พี่ทุยเอามาเล่าไม่หมด

 

ญี่ปุ่น

จะบอกว่าประเทศนี้แนวความคิดมีเยอะมาก เหมือนทุกคนฝึกมาเพื่อคิด สามารถหยิบจับอะไรมาเป็นแนวคิดอะไรได้หมดเลย โดยแนวคิดทางด้านการเงินของคนญี่ปุ่นที่ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้วอย่าง คะเคโบะ ที่โด่งดังนั่นเอง

คะเคโบะ

หรือที่แปลกันตรง ๆ ว่า สมุดบัญชีครัวเรือน ถูกคิดค้นตั้งแต่ปี 1904 โน่น เป็นร้อยปีได้ โดยนักหนังสือพิมพ์หญิง ฮานิ โมโตโกะ เพื่อเป็นการจดบันทึกควบคุมรายจ่ายภายในบ้านที่ไม่จำเป็น และมีสติกับการใช้จ่ายมากขึ้น โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวดหมู่ให้รู้ว่าจะใช้เงินไปกับอะไรบ้าง เช่น รายจ่ายจำเป็น ค่ากิน ค่าเช่า ค่าน้ำ-ไฟ รายจ่ายไม่จำเป็น เช่น ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ซื้อเทียนหอม รายจ่ายไม่คาดคิด เช่น ค่าซ่อมรถกะทันหัน และอีกสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของคะเคโบะก็คือ ปรัชญาด้านการใช้จ่าย ที่ให้เราถามตัวเองทุกครั้งก่อนซื้อ ซึ่งทุกคนเอาคำถามนี้ไปทำตามกันได้นะ

คำถามก่อนซื้อตามหลักคะเคโบะ

  1. คำถามถามตัวเองก่อนซื้อแบบคะเคโบะ
  2. ถ้าไม่มีของชิ้นนี้ เรามีชีวิตอยู่ได้ไหม ?
  3. สถานการณ์ทางการเงินของเราตอนนี้ เราซื้อของชิ้นนี้ได้ไหม ?
  4. ของที่จะซื้อ เราซื้อมาแล้วจะใช้จริง ๆ ใช่มั้ย ?
  5. บ้านมีที่เก็บของพอหรือเปล่า ?
  6. ไปเจอสินค้าชิ้นนี้ได้ยังไง (เช่น ดูทีวีแล้วชอบ เห็นในโฆษณาบน BTS หรือเดินผ่านหน้าร้านในห้าง)
  7. อารมณ์ของเราในวันนี้เป็นยังไง ? (เพราะถ้าอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เครียด หรือโมโห จะมีแนวโน้มซื้อของไปเรื่อยเพื่อทำให้อารมณ์ลดลงมากขึ้น)
  8. ซื้อมาแล้วรู้สึกยังไง ? รู้สึกเสียดายเงินไหม มีความสุขไหมที่ซื้อของชิ้นนี้มา

 

นอกจากนี้ยังมีการปลูกฝังด้านการเงินให้ตั้งแต่ยังตัวกะเปี๊ยกผ่านวัฒนธรรมและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น Otoshidama (お年玉) ที่เป็นการให้เงินในวันปีใหม่ (บ้านเราก็ให้อั่งเปา) ซึ่งผู้ใหญ่ที่ให้เงินเด็กก็จะสอนว่าควรเอาเงินไปบริหารจัดการยังไงดี จะฝาก หรือจะลงทุนในไหน ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็จะเสร็จแม่ไปก่อนคนแรก ข้อหา “เอาเงินมาฝากไว้ที่แม่ก่อน โตขึ้นค่อยมาเอา”

รวมไปถึงโครงการ ธนาคารเด็ก (子供銀行, Kodomo Ginko) ที่ส่งเสริมให้เด็กรู้จักการออมเงินและเข้าใจวิธีการจัดการทางการเงิน (อย่างบ้านเราก็จะมี สหกรณ์โรงเรียน ซึ่งไม่ค่อยส่งเสริมให้เด็กฝากเงินเท่าไหร่ จะเน้นเข้าไปซื้อของมากกว่า และก็ไม่ใช่ทุกโรงเรียนจะมีสหกรณ์ด้วย)

 

แอฟริกาใต้

กับแนวคิดที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนอย่าง อูบุนตู (Ubuntu) ที่หมายถึง ความเมตตาในตัวเอง ที่เป็นการเชื่อมโยงตัวเองกับสังคม และชุมชน และการแบ่งปันอย่างเป็นธรรม เป็นคำสอนที่เน้นว่า หากเราต้องเลือกระหว่างความมั่งคั่ง ร่ำรวยล้นฟ้า กับการรักษาชีวิตคนอื่น ให้เลือกรักษาชีวิตไว้เป็นนัมเบอร์วัน เป็นการสอนให้เห็นคุณค่าในความเป็น “คน” มากกว่ามองที่ทรัพย์สิน

ในทางปฏิบัติ อูบุนตูถูกนำไปใช้ในระบบสต็อกเวล (Stokvel) ที่เป็นกลุ่มเงินแบบหมุนเวียน หาเพื่อนช่วยออมเงิน ที่มีสมาชิก 12 คนขึ้นไปจ่ายเงินสมทบเป็นประจำ แล้วสมาชิกจะได้เงินก้อนตามลำดับ สมมติว่ามีสมาชิก 12 คน ทุกคนจ่ายเงินเข้าสมาชิกเดือนละ 1,000 ไปเรื่อย ๆ จนครบปี ซึ่งระหว่างนี้สมาชิกก็จะได้ดอกเบี้ยทบต้นไปด้วย คือไม่ถอนออกมา เอาดอกเบี้ยใส่กลับเข้าไปในระบบเหมือนเดิม พอครบ 1 ปี ในเดือนแรก สมาชิกคนแรกจะได้เงินทั้งหมด 12,000 พร้อมดอกเบี้ย เดือนต่อมาก็จะเป็นสมาชิกคนที่ 2 ได้ไปพร้อมดอกเบี้ย ทำหน้าที่คล้ายระบบสหกรณ์สินเชื่อหมุนเวียน ต่างจากเท้าแชร์ตรงที่มีองค์กร National Stokvel Association of South Africa (NASASA) คอยควบคุม กำกับดูแลกลุ่มสมาชิกไว้ ใครอยากก่อตั้งกลุ่ม Stokvel ทุกกลุ่มต้องมาขึ้นทะเบียนที่นี่

เป้าหมายการตั้งกลุ่ม Stokvel เพื่อช่วยให้คนธรรมดาสามารถออมเงินและเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น แต่ยังสร้างเครือข่ายการช่วยเหลือทางสังคม สร้างความไว้วางใจ และเปิดโอกาสให้ชุมชนลงทุนในอสังหาฯ การศึกษา และธุรกิจได้ ตามแนวคิดของอูบุนตูที่ว่า “ชุมชนต้องมาก่อน”

 

จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ ประเทศต่างให้ความสำคัญกับการปลูกฝัง แนวคิดการเงิน ให้ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อที่โตมาแล้วจะได้มีอิสรภาพทางการเงินอย่างเต็มที่ จริง ๆ ไทยเองก็มีการสอนหรือการปลูกฝังค่านิยมทางด้านการเงินให้เด็ก ๆ เหมือนกัน แต่อาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอให้เด็ก ๆ เข้าใจความสำคัญของมัน ซึ่งกว่าเด็ก ๆ จะเข้าใจก็อาจสายไปแล้ว ก็หวังว่า กระทรวงศึกษาธิการจะมีมาตรการอะไรที่ทำให้เด็กไทยเก่งเรื่องการเงินบ้างนะ

 

ติดตามเพจพี่ทุยได้ที่ Facebook

อ่านบทความเพิ่มเติม

ตั้งเป้าแบบนี้ ลงทุนอะไรดี

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile