ปัญหาหนึ่งเวลาที่เราจะลงทุนอะไรสักอย่างหนึ่ง เรามักจะเกิดความไม่แน่ใจว่าโครงการคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่ ซึ่งหลักการหนึ่งที่จะช่วยประเมินความคุ้มค่าให้กับตัวเราได้ก็คือ การดูว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับนั้นมากกว่า WACC หรือไม่ ถ้ามากกว่าแปลว่าการลงทุนนี้มีแนวโน้มที่คุ้มค่า แล้ว WACC คืออะไร ?
WACC คืออะไร ?
Weighted Average Cost of Capital (WACC) หรือที่เราจะเรียกกันว่าต้นทุนของเงินทุน WACC มักถูกใช้นำไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนเพื่อดูว่าการลงทุนนี้คุ้มค่าหรือไม่
โดยทั่วไปโครงสร้างของเงินลงทุนจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักก็คือ เงินจากการกู้ยืมและเงินจากการลงทุนของเจ้าของเอง WACC จะเป็นการนำต้นทุนของเงินทุนทั้ง 2 ส่วนนี้มาถัวเฉลี่ยตามสัดส่วนเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยของต้นทุนเงินทุนของเรา ดังนั้น WACC จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 2 ส่วนหลักก็คือ “ต้นทุนของเงินทุนจากการกู้ยืม” และ “ต้นทุนของเงินทุนจากผู้ถือหุ้น”
ตัวอย่างของการคิด WACC
ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณ WACC เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น สมมติว่าเราต้องการลงทุนโครงสร้างหนึ่งด้วยจำนวนเงิน 1,000,000 บาท โดยเราจะใช้เงินจากการกู้ยืม 300,000 บาท โดยมีภาระดอกเบี้ยเท่ากับ 10% ต่อปี และใช้เงินจากเจ้าของอีก 700,000 บาท ซึ่งเจ้าของตองการผลตอบแทนที่ 20% ต่อปี กำหนดให้ภาษีนิติบุคคลเท่ากับ 20%
จากตัวอย่าง WACC จะเท่ากับ [(300,000/1,000,000)x(10%)x(1-20%)] + [(700,000/1,000,000) x (20%)] = 16.4%
ดังนั้นแปลว่าถ้าการลงทุนนี้มีโอกาสที่สร้างผลตอบแทนคาดหวังได้มากกว่า 16.4% ก็แปลว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจนั่นเอง พอเป็นแบบนี้หลาย ๆ คนก็อาจจะเกิดข้อสงสัยที่ว่า โดยทั่วไปแล้วต้นทุนของเงินจากการกู้ยืมจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำไมถึงไม่ใช้เงินจากการกู้ทั้งหมดเลยเพื่อให้ WACC ลดลง
ในกรณีนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าการนำเงินไปลงทุนแล้วมั่นใจว่าได้ผลตอบแทนที่แน่นอน การใช้เงินกู้ทั้งหมดก็ดูจะน่าสนใจมากกว่า แต่ในโลกการลงทุนจริง ๆ แล้วมีสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนหรือเจ้าของกิจการต้องระวังก็คือ เรื่องของ “ความเสี่ยง” หรือโอกาสที่ผลตอบแทนจะไม่ออกมาเป็นตามที่เราคาดการณ์
แต่ถ้าเราใช้เงินจากการกู้ทั้งหมดเราจะมีภาระที่เรียกว่า “ดอกเบี้ย” ที่ถือว่าเป็นรายจ่ายคงที่ ที่เราต้องรับผิดชอบ ในกรณีที่การลงทุนผิดพลาดไป ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ตามที่ตกลงกันไว้ ก็จะทำให้ปริมาณหนี้ยิ่งพอกพูน รวมถึงอาจจะทำให้กิจการเข้าสู่สภาวะล้มละลายได้เลย แต่การใช้เงินจากเจ้าของ ถึงแม้จะมีต้นทุนเงินทุนที่สูงกว่า แต่เงินทุนของเจ้าของไม่มีภาระค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยทางบัญชี
Comment