เวลาอ่านบทวิเคราะห์งบการเงินจะค่อนข้างได้ยินนักวิเคราะห์หลายคนใช้อัตราส่วนทางการเงินที่เรียกว่า ROA มาประกอบการวิเคราะห์ว่าบริษัทนั้นมีอัตราส่วนทางการเงินดีหรือไม่ และน่าลงทุนไหม วันนี้พี่ทุยจะพาไปทำความรู้จักกันว่า ROA คืออะไร มีข้อควรระวังอะไรบ้าง
ROA คืออะไร ?
“ROA” หรือ Return on Asset เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่าง “กำไรสุทธิ (Net Profit)” และ “สินทรัพย์รวม (Asset)”
บางตำราอาจจะใช้ EBIT แทน กำไรสุทธิ (Net Profit)
“ROA” มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์โดยทั่วไปแล้ว ROA ยิ่งมีค่าสูงเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะ ยิ่งมีค่าที่สูงแปลว่าบริษัทใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันไปสร้าง “กำไรสุทธิ” ได้สูง ซึ่งถ้า ROA ที่ต่ำนั้นแปลว่าบริษัทนั้นไม่สามารถใช้งานสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้ ROA อย่างไร ?
“ROA” จะมีค่าสูงหรือว่าต่ำนั้น เราจะต้องนำ ROA ไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เนื่องจากในแต่ละอุตสาหกรรมมีความเฉพาะเป็นของตัวเอง บางอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้สินทรัพย์เยอะเพื่อสร้างผลกำไร เช่น ธุรกิจโรงแรม เป็นต้น
แต่ธุรกิจบางประเภทอย่างเช่นธุรกิจบริการที่เน้นใช้แรงงานมากกว่าสินทรัพย์จะทำให้ค่า ROA ออกมาค่อนข้างสูงมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมที่มี “ROA” ที่สูงกว่าจะน่าลงทุนมากกว่าอุตสาหกรรมที่มี ROA ต่ำ การที่ ROA สูงก็หมายความว่ามี “อุปสรรคในการเข้าตลาด (Barrier to Entry)” ต่ำเช่นกัน เพราะว่าใช้เงินลงทุนน้อยก็สามารถสร้างผลกำไรได้สูง นั่นก็แปลว่าเป็นการดึงดูดคู่แข่งไปในตัวด้วย
สรุปได้ว่า ROA มีค่าสูงอาจจะไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนหรือว่าบริษัทนี้มีราคาที่ถูกหรือว่าแพง ดังนั้นการใช้ ROA ประเมินความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเพียงตัวเดียวอาจจะไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม ควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ ประกอบด้วยเสมอ โดยส่วนใหญ่จะใช้คู่กับ ROE และอื่นๆ
ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ที่นี่
Comment