ROE คืออะไร

ROE คืออะไร ? – ยิ่งสูง ยิ่งดี จริงหรือไม่ ?

1 min read  

ฉบับย่อ

  • ROE เปรียบเทียบระหว่าง “กำไรสุทธิ (Net Profit)” และ “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)”
  • มีค่าสูงเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากเงินส่วนของเจ้าของนั้นให้ผลตอบแทนที่สูง
  • ควรใช้ในการเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เวลาอ่านบทวิเคราะห์งบการเงินจะค่อนข้างได้ยินนักวิเคราะห์หลายคนใช้อัตราส่วนทางการเงินที่เรียกว่า ROE มาประกอบการวิเคราะห์ว่าบริษัทนั้นมีอัตราส่วนทางการเงินดีหรือไม่ และน่าลงทุนไหม วันนี้พี่ทุยจะพาไปทำความรู้จักกันว่า ROE คืออะไร มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

ROE คืออะไร ?

“ROE” หรือ Return on Equity เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่าง “กำไรสุทธิ (Net Profit)” และ “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)”

"ROE" คืออะไร ?

Return on Equity มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีค่าสูงเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากเงินส่วนของเจ้าของนั้นให้ผลตอบแทนที่สูง ยิ่งมีค่าที่สูงแปลว่าบริษัทนั้นสามารถสร้าง “กำไรสุทธิ” ได้มากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ

หลักการเปรียบเทียบควรใช้ Return on Equity ในการเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

ข้อควรระวังในการใช้ ROE

Return on Equity ที่สูงอาจจะไม่ใช่ผลดีเสมอไปเพราะอาจจะไม่ได้มาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เพราะค่า Return on Equity ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ

  1. กำไรสุทธิ (Net Profit)
  2. ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

แปลว่ายิ่งกำไรสุทธิสูงก็จะทำให้ Return on Equity มีค่าที่สูง แต่ในกรณีที่กำไรสุทธิไม่ได้สูง แต่ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) มีค่าที่ต่ำก็สามารถทำให้ Return on Equity สูงขึ้นได้เช่นกัน เพื่อความเข้าใจเราอาจจะมาดูตัวอย่างนี้กัน

ก่อนที่เราจะเข้าตัวอย่าง สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้ก่อนก็คือตามหลักการบัญชีทั่วไปแล้ว “สินทรัพย์ (Asset)” จะเท่ากับ “หนี้สิน (Debt)” บวก “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)”

"ROE" คืออะไร ?

สมมุติกรณีที่ บริษัท AAA มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,000 บาท
มีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาท
หนี้สินเท่ากับ 1,000 บาท
ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 4,000 บาท
แปลว่าค่า ROE จะมีค่าเท่ากับ 25%

แต่ในอีกกรณีหนึ่งถ้า บริษัท BBB มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,000 บาทเช่นกัน
มีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาท
แต่มีหนี้สินเท่ากับ 3,000 บาท
ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 2,000 บาท
แปลว่าค่า ROE จะมีค่าเท่ากับ 50%

จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 กรณีมีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาทเท่ากัน แต่กลับมีค่า Return on Equity ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 บริษัทสร้างกำไรสุทธิได้เท่ากันแต่ Return on Equity ไม่เท่ากัน เนื่องจากบริษัท BBB มีการใช้การกู้เข้ามาใช้ในกิจการมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า บริษัท BBB จะมีความเสี่ยงที่มากกว่าบริษัท AAA เนื่องจากมีหนี้สินที่มากกว่า แล้วเมื่อมีหนี้ที่มากกว่าก็แปลว่าจะมีภาระที่ต้องชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่า

สรุปได้ว่า Return on Equity มีค่าสูงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป ดังนั้นการใช้ Return on Equity ประเมินความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเพียงตัวเดียวอาจจะไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม ควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ อย่างเช่น D/E Ratio เพื่อดูความเสี่ยงทางการด้านเงินประกอบกับการใช้ Return on Equity ด้วยทุกครั้ง

ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ที่นี่

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply