เวลาอ่านบทวิเคราะห์งบการเงินจะค่อนข้างได้ยินนักวิเคราะห์หลายคนใช้อัตราส่วนทางการเงินที่เรียกว่า ROE มาประกอบการวิเคราะห์ว่าบริษัทนั้นมีอัตราส่วนทางการเงินดีหรือไม่ และน่าลงทุนไหม วันนี้พี่ทุยจะพาไปทำความรู้จักกันว่า ROE คืออะไร มีข้อควรระวังอะไรบ้าง
ROE คืออะไร ?
“ROE” หรือ Return on Equity เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่าง “กำไรสุทธิ (Net Profit)” และ “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)”
Return on Equity มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีค่าสูงเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากเงินส่วนของเจ้าของนั้นให้ผลตอบแทนที่สูง ยิ่งมีค่าที่สูงแปลว่าบริษัทนั้นสามารถสร้าง “กำไรสุทธิ” ได้มากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ
หลักการเปรียบเทียบควรใช้ Return on Equity ในการเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ข้อควรระวังในการใช้ ROE
Return on Equity ที่สูงอาจจะไม่ใช่ผลดีเสมอไปเพราะอาจจะไม่ได้มาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เพราะค่า Return on Equity ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ
- กำไรสุทธิ (Net Profit)
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
แปลว่ายิ่งกำไรสุทธิสูงก็จะทำให้ Return on Equity มีค่าที่สูง แต่ในกรณีที่กำไรสุทธิไม่ได้สูง แต่ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) มีค่าที่ต่ำก็สามารถทำให้ Return on Equity สูงขึ้นได้เช่นกัน เพื่อความเข้าใจเราอาจจะมาดูตัวอย่างนี้กัน
ก่อนที่เราจะเข้าตัวอย่าง สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้ก่อนก็คือตามหลักการบัญชีทั่วไปแล้ว “สินทรัพย์ (Asset)” จะเท่ากับ “หนี้สิน (Debt)” บวก “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)”
สมมุติกรณีที่ บริษัท AAA มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,000 บาท
มีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาท
หนี้สินเท่ากับ 1,000 บาท
ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 4,000 บาท
แปลว่าค่า ROE จะมีค่าเท่ากับ 25%
แต่ในอีกกรณีหนึ่งถ้า บริษัท BBB มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,000 บาทเช่นกัน
มีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาท
แต่มีหนี้สินเท่ากับ 3,000 บาท
ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 2,000 บาท
แปลว่าค่า ROE จะมีค่าเท่ากับ 50%
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 กรณีมีสินทรัพย์เท่ากับ 5,000 บาทเท่ากัน แต่กลับมีค่า Return on Equity ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 บริษัทสร้างกำไรสุทธิได้เท่ากันแต่ Return on Equity ไม่เท่ากัน เนื่องจากบริษัท BBB มีการใช้การกู้เข้ามาใช้ในกิจการมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า บริษัท BBB จะมีความเสี่ยงที่มากกว่าบริษัท AAA เนื่องจากมีหนี้สินที่มากกว่า แล้วเมื่อมีหนี้ที่มากกว่าก็แปลว่าจะมีภาระที่ต้องชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่า
สรุปได้ว่า Return on Equity มีค่าสูงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป ดังนั้นการใช้ Return on Equity ประเมินความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเพียงตัวเดียวอาจจะไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม ควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ อย่างเช่น D/E Ratio เพื่อดูความเสี่ยงทางการด้านเงินประกอบกับการใช้ Return on Equity ด้วยทุกครั้ง
ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ที่นี่
Comment