ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่มีการล็อกดาวน์ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่พี่ใหญ่ในวงการโรงแรมอย่าง “หุ้น AWC” หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
วันนี้พี่ทุยจะพามาเจาะลึก “หุ้น AWC” เพื่อให้นักลงทุนที่มีความสนใจศึกษาข้อมูล ได้เตรียมความพร้อมก่อนการเข้าลงทุน
AWC คือใคร ?
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ที่อยู่ภายใต้เครือ TCC Group หรือที่เราจะคุ้นชื่อว่า ThaiBev ซึ่งประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศไทย ประกอบด้วยโรงแรมและการบริการ (Hospitality) อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial) อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบ กิจการการค้า (Retail & Wholesale) และอาคารสํานักงาน (Office)
โครงสร้างรายได้ ปี 2563
1. รายได้จากธุรกิจโรงแรม – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 46%
บริษัทฯ มีโรงแรมในพอร์ต 18 แห่ง คิดเป็นจำนวน 4,941 ห้อง ในปัจจุบันบริษัทฯ มีอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย กระบี่ พัทยา และหัวหิน
2. รายได้จากธุรกิจสำนักงาน – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 37 %
บริษัทฯ มีสำนักงานในพอร์ต 4 อาคาร พื้นที่เช่าสุทธิ 270,594 ตร.ม. ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ รวมทั้งอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
3. รายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 17 %
บริษัทฯ มีอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าปลีก (Retail) ที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง (ไม่รวมถึงโครงการเกทเวย์ เอกมัย) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง (Wholesale) 1 แห่ง
5 จุดแข็งของ “หุ้น AWC” ที่ช่วยทำให้โดดเด่นและน่าจับตามอง
1. การลงทุนที่หลากหลาย เป็นกลยุทธ์สำคัญและส่งผลต่อการเติบโตของ AWC
AWC ลงทุนใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และ (2) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ที่ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้จากความผันผวน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
2. มีลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงจากทั่วโลก
เน้นกระจายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงจากทั่วโลก และกลยุทธ์ กระจายประเภทธุรกิจย่อยรวมทั้งกระจายการลงทุนในเมืองหลักต่าง ๆ
3. ความแข็งแกร่งจากการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก
มีการผนึกกําลังความแข็งแกร่งด้วยเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เสริมจุดแข็งในการขับเคลื่อนด้านต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสร้างความมั่นใจด้วยมาตรฐานระดับโลกจากการรับรองตามมาตรฐาน SHA หรือ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว รวมถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้บริการและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
4. การเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง
ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการปรับปรุง สร้างศักยภาพใหม่ให้กับโครงการที่มีอยู่ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตทรัพย์สินของ AWC เตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าสร้างกระแสเงินสดเติบโตอย่างก้าวกระโดด
5. เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร
ด้วยโครงการมาตรฐานระดับโลก และในปีที่ผ่านมา AWC ได้รับรางวัล ในด้านต่างๆ กว่า 200 รางวัล
ผลการดำเนินงาน ปี 2559-2563 ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)
รายได้รวมในช่วงปี 2559-2562 ค่อนข้างทรงตัว ส่วนกำไรสุทธิมีความผันผวน โดยหลัก ๆ แล้วมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินในช่วงเดือนพฤษภาคม 2560 ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หากพิจารณาผลการดำเนินงานปี 2563 พบว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า (Retail) ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในสภาวะปกติ
อัตราส่วนทางการเงินของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)
หากลองดูจากงบปี 2563 จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากราคา IPO ที่ 6.00 บาท สะท้อนจากผลประกอบการของบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถคำนวณหาค่า P/E ได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุน แต่ด้วย P/BV Ratio ที่ยังมีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯ จะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
ส่วน EPS มีค่าติดลบ บอกถึงบริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำ จากงบปี 2563 “หุ้น AWC” มีผลประกอบการขาดทุนถึง 1,881 ล้านบาท
ROA และ ROE ตามหลักการแล้ว ยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากดูในงบปี 2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากผลประกอบการที่ขาดทุนนั่นเอง
ส่วนของ D/E Ratio ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว D/E Ratio ยิ่งมีค่าต่ำยิ่งดี บ่งบอกถึงบริษัทฯ มีภาระหนี้สินที่ต่ำ มีความแข็งแรงทางด้านการเงินที่สูง AWC มี D/E Ratio อยู่ที่ 0.75 โดยนำมาเทียบกับ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน (งบปี 2563) ได้ดังนี้
เปรียบเทียบ D/E Ratio กับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)
สาเหตุที่ AWC มีค่า D/E ต่ำ เนื่องจากบริษัทระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ กับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการใหม่ ๆ และชำระคืนเงินกู้ธนาคาร ทำให้บริษัทฯ มีเงินสดในมือมาก และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นโรงแรมตัวอื่น ๆ
AWC มุ่งหน้าเป็นนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เน้นกระจายรายได้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ถ้าหากเราดูแบบผ่าน ๆ เราอาจจะรู้สึกว่า AWC เป็นผู้ประกอบการแต่ในความเป็นจริงแล้ว AWC เป็น ผู้ลงทุน พัฒนาบริหารอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ เน้นเข้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ที่จับกลุ่มลูกค้ามีรายได้ปานกลางไปจนถึงระดับสูง
AWC พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อเป็นผู้นำตลาดสร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการ เน้นกระจายฐานลูกค้าจากทั่วโลก และกลยุทธ์กระจายประเภทธุรกิจย่อยรวมทั้งกระจายการลงทุนในเมืองหลักต่าง ๆ พัฒนาและดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อคุณค่าองค์รวม เพื่อให้เกิดการเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง
อนาคตของ “หุ้น AWC” จะเป็นอย่างไร ? มีประเด็นอะไรที่นักลงทุนต้องติดตาม
1. บริษัทฯเติบโตด้วย M&A หรือการควบรวมกิจการ
AWC วางแผนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการ โดยมีแผน จะเข้าซื้อกิจการ ดังนี้
1) โครงการมิกซ์ยูสเวิ้งนาครเขษม (กรุงเทพฯ) งบประมาณรวม 1.7 หมื่นล้านบาท
2) โครงการวรรณทรัพย์พัฒนา (กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์โดยใช้งบประมาณรวม 713 ล้านบาท
3) โครงการซิกม่ารีสอร์ท จอมเทียน (พัทยา) โรงแรมที่มีงบประมาณรวม 1.8 พันล้านบาท โครงการเหล่านี้จะแล้วเสร็จในปี 2566-2569 และบริษัทจะใช้เงินสดจากการ IPO ในปี 2562 และการกู้ยืม ซึ่งสามารถทำได้ เพราะอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำกว่าข้อกำหนดที่ 1.5 เท่า นักวิเคราะห์คาดว่าการซื้อกิจการจะเพิ่มการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
2. การแพร่ระบาดของโควิด-19
จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เมื่อเดือนเมษายน 2564 กดดันผลดำเนินงานไตรมาสแรก และอาจต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 ปี 2564 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าครึ่งปีหลัง บริษัทจะสามารถฟื้นตัวได้จากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นอย่างมีนัยสำคัญรวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ทั้งปี 2564 ขาดทุนลดลงจากปี 2563 และกลับมาฟื้นกำไรให้เห็นในปีหน้า
3. การแข่งขันทางธุรกิจ
ปัจจุบันธุรกิจภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง บริษัทต้องแข่งขันกับบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการลักษณะเดียวกันทั้งในระดับสากล ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น
4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
บริษัทดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูงและอาศัยความพร้อมของเงินทุนจำนวนมาก บริษัทจึงควรมีการวิเคราะห์การใช้เงินทุนอย่างละเอียด รอบคอบในทุก ๆ โครงการเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
5. พฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง หรือลดขนาดองค์กร และยังส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานไปเป็นลักษณะทำงานจากที่บ้าน ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ความต้องการใช้พื้นที่เช่า “อาคารสำนักงาน” ลดลง รวมถึงลูกค้าอาจสนใจบริการที่พักในรูปแบบอื่นมากกว่าการพักใน “โรงแรม” หรือการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเมื่อเทียบกับการซื้อของใน “ศูนย์การค้า”
ส่วนตัวพี่ทุยมองว่า “หุ้น AWC” ถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ (D/E Ratio) แสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินน้อย มีโอกาสกู้เงินมาลงทุน ทำโครงการได้อีกมากมายในอนาคต อีกทั้งยังมีสินทรัพย์คุณภาพอยู่ทั่วประเทศไทย หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจกลับมาสู่ระดับปกติย่อมทำให้ฐานรายได้และกำไรกลับมาฟื้นตัวอย่างแน่นอน
แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้อาจจะทำให้ในระยะสั้นผลประกอบการในปี 2564 ยังคงขาดทุนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด P/E Ratio ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแปลว่าหุ้นมีราคาค่อนข้างแพงโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าหากราคามีการปรับตัวลงมาอีกสักหน่อยก็อาจจะเริ่มพิจารณาเข้าลงทุนได้
ดู Youtube เพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้น