สรุป "หุ้น AWC" ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

วิเคราะห์ “หุ้น AWC” ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

5 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ThaiBev ประกอบกิจการ 3 ประเภท คือ โรงแรม สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า
  • ปี 2563 มีรายได้จากธุรกิจโรงแรม คิดเป็น 46% มีรายได้จากธุรกิจสำนักงาน คิดเป็น 37% และรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า คิดเป็น 17%
  • ผลการดำเนินงานปี 2563 พบว่ารายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในสภาวะปกติ
  • AWC วางแผนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ ซึ่งจะเพิ่มการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ในอนาคต

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่มีการล็อกดาวน์ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่พี่ใหญ่ในวงการโรงแรมอย่าง “หุ้น AWC” หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

วันนี้พี่ทุยจะพามาเจาะลึก “หุ้น AWC” เพื่อให้นักลงทุนที่มีความสนใจศึกษาข้อมูล ได้เตรียมความพร้อมก่อนการเข้าลงทุน

AWC คือใคร ?

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ที่อยู่ภายใต้เครือ TCC Group หรือที่เราจะคุ้นชื่อว่า ThaiBev ซึ่งประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศไทย ประกอบด้วยโรงแรมและการบริการ (Hospitality) อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial) อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบ กิจการการค้า (Retail & Wholesale) และอาคารสํานักงาน (Office)

โครงสร้างรายได้ ปี 2563

สรุป "หุ้น AWC" ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

1. รายได้จากธุรกิจโรงแรม – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 46%

บริษัทฯ มีโรงแรมในพอร์ต 18 แห่ง คิดเป็นจำนวน 4,941 ห้อง ในปัจจุบันบริษัทฯ มีอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย กระบี่ พัทยา และหัวหิน

2. รายได้จากธุรกิจสำนักงาน – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 37 %

บริษัทฯ มีสำนักงานในพอร์ต 4 อาคาร พื้นที่เช่าสุทธิ 270,594 ตร.ม. ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ รวมทั้งอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

3. รายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า – สัดส่วนรายได้คิดเป็น 17 %

บริษัทฯ มีอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าปลีก (Retail) ที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง (ไม่รวมถึงโครงการเกทเวย์ เอกมัย) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง (Wholesale) 1 แห่ง

5 จุดแข็งของ “หุ้น AWC” ที่ช่วยทำให้โดดเด่นและน่าจับตามอง

1. การลงทุนที่หลากหลาย เป็นกลยุทธ์สำคัญและส่งผลต่อการเติบโตของ AWC

AWC ลงทุนใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และ (2) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ที่ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้จากความผันผวน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

2. มีลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงจากทั่วโลก

เน้นกระจายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงจากทั่วโลก และกลยุทธ์ กระจายประเภทธุรกิจย่อยรวมทั้งกระจายการลงทุนในเมืองหลักต่าง ๆ

3. ความแข็งแกร่งจากการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก

มีการผนึกกําลังความแข็งแกร่งด้วยเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เสริมจุดแข็งในการขับเคลื่อนด้านต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสร้างความมั่นใจด้วยมาตรฐานระดับโลกจากการรับรองตามมาตรฐาน SHA หรือ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว  รวมถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้บริการและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

4. การเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการปรับปรุง สร้างศักยภาพใหม่ให้กับโครงการที่มีอยู่ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตทรัพย์สินของ AWC เตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าสร้างกระแสเงินสดเติบโตอย่างก้าวกระโดด

5. เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร

ด้วยโครงการมาตรฐานระดับโลก และในปีที่ผ่านมา AWC ได้รับรางวัล ในด้านต่างๆ กว่า 200 รางวัล

ผลการดำเนินงาน ปี 2559-2563 ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)

สรุป "หุ้น AWC" ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

รายได้รวมในช่วงปี 2559-2562 ค่อนข้างทรงตัว ส่วนกำไรสุทธิมีความผันผวน โดยหลัก ๆ แล้วมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินในช่วงเดือนพฤษภาคม 2560 ส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

หากพิจารณาผลการดำเนินงานปี 2563 พบว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า (Retail) ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในสภาวะปกติ

อัตราส่วนทางการเงินของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)

สรุป "หุ้น AWC" ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

หากลองดูจากงบปี 2563 จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากราคา IPO ที่ 6.00 บาท สะท้อนจากผลประกอบการของบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถคำนวณหาค่า P/E ได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุน แต่ด้วย P/BV Ratio ที่ยังมีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯ จะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

ส่วน EPS มีค่าติดลบ บอกถึงบริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำ จากงบปี 2563 “หุ้น AWC” มีผลประกอบการขาดทุนถึง 1,881 ล้านบาท

ROA และ ROE ตามหลักการแล้ว ยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากดูในงบปี 2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากผลประกอบการที่ขาดทุนนั่นเอง

ส่วนของ D/E Ratio ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว D/E Ratio ยิ่งมีค่าต่ำยิ่งดี บ่งบอกถึงบริษัทฯ มีภาระหนี้สินที่ต่ำ มีความแข็งแรงทางด้านการเงินที่สูง AWC มี D/E Ratio อยู่ที่ 0.75 โดยนำมาเทียบกับ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน (งบปี 2563) ได้ดังนี้

เปรียบเทียบ D/E Ratio กับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)

สรุป "หุ้น AWC" ​เจ้าของโรงแรมขนาดกลางขึ้นไป รายใหญ่ที่สุดในไทย

สาเหตุที่ AWC มีค่า D/E ต่ำ เนื่องจากบริษัทระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ กับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการใหม่ ๆ และชำระคืนเงินกู้ธนาคาร ทำให้บริษัทฯ มีเงินสดในมือมาก และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นโรงแรมตัวอื่น ๆ

AWC มุ่งหน้าเป็นนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เน้นกระจายรายได้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น

ถ้าหากเราดูแบบผ่าน ๆ เราอาจจะรู้สึกว่า AWC เป็นผู้ประกอบการแต่ในความเป็นจริงแล้ว AWC เป็น ผู้ลงทุน พัฒนาบริหารอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ เน้นเข้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ที่จับกลุ่มลูกค้ามีรายได้ปานกลางไปจนถึงระดับสูง

AWC พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อเป็นผู้นำตลาดสร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการ เน้นกระจายฐานลูกค้าจากทั่วโลก และกลยุทธ์กระจายประเภทธุรกิจย่อยรวมทั้งกระจายการลงทุนในเมืองหลักต่าง ๆ พัฒนาและดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อคุณค่าองค์รวม เพื่อให้เกิดการเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

อนาคตของ “หุ้น AWC” จะเป็นอย่างไร ? มีประเด็นอะไรที่นักลงทุนต้องติดตาม

1. บริษัทฯเติบโตด้วย M&A หรือการควบรวมกิจการ

AWC วางแผนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการ โดยมีแผน จะเข้าซื้อกิจการ ดังนี้

1) โครงการมิกซ์ยูสเวิ้งนาครเขษม (กรุงเทพฯ) งบประมาณรวม 1.7 หมื่นล้านบาท
2) โครงการวรรณทรัพย์พัฒนา (กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์โดยใช้งบประมาณรวม 713 ล้านบาท
3) โครงการซิกม่ารีสอร์ท จอมเทียน (พัทยา) โรงแรมที่มีงบประมาณรวม 1.8 พันล้านบาท โครงการเหล่านี้จะแล้วเสร็จในปี 2566-2569 และบริษัทจะใช้เงินสดจากการ IPO ในปี 2562 และการกู้ยืม ซึ่งสามารถทำได้ เพราะอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำกว่าข้อกำหนดที่ 1.5 เท่า นักวิเคราะห์คาดว่าการซื้อกิจการจะเพิ่มการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

2. การแพร่ระบาดของโควิด-19

จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เมื่อเดือนเมษายน 2564 กดดันผลดำเนินงานไตรมาสแรก และอาจต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 ปี 2564 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าครึ่งปีหลัง บริษัทจะสามารถฟื้นตัวได้จากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นอย่างมีนัยสำคัญรวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ทั้งปี 2564 ขาดทุนลดลงจากปี 2563 และกลับมาฟื้นกำไรให้เห็นในปีหน้า

3. การแข่งขันทางธุรกิจ

ปัจจุบันธุรกิจภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง บริษัทต้องแข่งขันกับบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการลักษณะเดียวกันทั้งในระดับสากล ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง

บริษัทดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูงและอาศัยความพร้อมของเงินทุนจำนวนมาก บริษัทจึงควรมีการวิเคราะห์การใช้เงินทุนอย่างละเอียด รอบคอบในทุก ๆ โครงการเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ

5. พฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง หรือลดขนาดองค์กร และยังส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานไปเป็นลักษณะทำงานจากที่บ้าน ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ความต้องการใช้พื้นที่เช่า “อาคารสำนักงาน” ลดลง รวมถึงลูกค้าอาจสนใจบริการที่พักในรูปแบบอื่นมากกว่าการพักใน “โรงแรม” หรือการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเมื่อเทียบกับการซื้อของใน “ศูนย์การค้า”

ส่วนตัวพี่ทุยมองว่า “หุ้น AWC” ถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ (D/E Ratio) แสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินน้อย มีโอกาสกู้เงินมาลงทุน ทำโครงการได้อีกมากมายในอนาคต อีกทั้งยังมีสินทรัพย์คุณภาพอยู่ทั่วประเทศไทย  หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจกลับมาสู่ระดับปกติย่อมทำให้ฐานรายได้และกำไรกลับมาฟื้นตัวอย่างแน่นอน 

แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้อาจจะทำให้ในระยะสั้นผลประกอบการในปี 2564 ยังคงขาดทุนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด P/E Ratio ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแปลว่าหุ้นมีราคาค่อนข้างแพงโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าหากราคามีการปรับตัวลงมาอีกสักหน่อยก็อาจจะเริ่มพิจารณาเข้าลงทุนได้

ดู Youtube เพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile