การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ เราจ่ายภาษีน้อยลง และเพิ่มโอกาสให้เงินลงทุนก้อนนั้นได้เติบโตขึ้นด้วย ซึ่ง 1 ในสินทรัพย์ที่น่าสนใจคือ ลดหย่อนภาษีด้วย SSF แล้วเราจะซื้อ SSF ยังไงให้คุ้มค่าที่สุด คงหนีไม่พ้นการเลือกกองทุนที่ทำให้เงินเราสามารถโตได้ในอนาคต วันนี้ พี่ทุยจะมาแชร์ 4 ขั้นตอนคัดเลือกกองทุนยังไงให้ได้กองทุนที่ดี เติบโตในอนาคต
SSF คืออะไร ทำไมถึงเป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่น่าลงทุน
ชื่อเต็ม ๆ ของ SSF คือ Super Saving Funds กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยเป็นกองทุนที่มีความพิเศษกว่ากองทุนรวมทั่วไป คือ สามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF มาหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
โดยมีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนดัชนี ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
สรุปเงื่อนไข ลดหย่อนภาษีด้วย SSF 2566
- สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี โดยสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ไม่กำหนดขั้นตํ่าในการซื้อ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
- ถือไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ (วันชนวัน)
- การลดหย่อนแบบปีต่อปี ซื้อปีไหน ก็ลดหย่อนปีนั้น
- ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ปี 2563-2567
ใครที่เหมาะกับ ลดหย่อนภาษีด้วย SSF
ก่อนจะเลือกลงทุน SSF ควรพิจารณาก่อนว่าเราเหมาะกับสินทรัพย์ตัวนี้แค่ไหน ไม่ใช่แค่เพราะจะหาลดหย่อนภาษีเท่านั้น แต่การลงทุนควรเหมาะสมกับแผนการเงินเราด้วย
SSF เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนเพื่อการออมระยะยาวและอายุต่ำกว่า 45 ปี เนื่องจากหากอายุ 45 – 50 ปี แนะนำว่าควรเลือกลงทุน RMF มากกว่า เพราะ RMF ต้องถือไม่น้อยกว่า 5 ปี และขายได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น
ทั้งนี้ กองทุน SSF ไม่ได้บังคับซื้อทุกปี ทำให้เราสามารถปรับแผนการเงินได้ และยังมีข้อดีคือ มีกองที่ให้เงินปันผลอีกด้วย
เทคนิคการเลือก SSF ด้วย Morningstar rating และ Fund Percentile
เมื่อเราตัดสินใจอยากลงทุนในกองทุน SSF แล้ว คำถามต่อมาคือ “กองทุน SSF กองไหนดี น่าลงทุน ?”
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กองทุนรวมแบ่งยังไงบ้าง
- กองทุนรวมแบบ Active Fund ผู้จัดการกองทุนทำผลตอบแทน “เหนือตลาด”
- กองทุนรวมแบบ Passive Fund ผู้จัดการกองทุนทำผลตอบแทนให้ “เหมือนกับดัชนี” มากที่สุด
อ่านเพิ่ม
5 ขั้นตอนการคัดเลือกกองทุน SSF
1. เลือกสินทรัพย์ที่เราต้องการลงทุนเนื่องจาก SSF เป็นอีกกองทุนที่ไม่ได้มีการจำกัดนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเป็นหลัก สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุน SSF ต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการลงทุนสินทรัพย์ใด เนื่องจากการคัดเลือกกองทุนจำเป็นต้องเปรียบเทียบและคัดจากกองทุนประเภทเดียวกันเท่านั้น
2. เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการลงทุนสินทรัพย์ประเภทใด จากนั้นเข้าที่ www.morningstarthailand.com และไปที่ตัวเลือก “ค้นหากองทุน”
3. วิธีการคัดเลือกจะคล้ายกับการคัดเลือกกองทุนรวมแบบทั่วไปโดยจะไปที่ฟังก์ชัน “ประเภทกองทุนแบ่งตาม AIMC” และในกรณีนี้จะสมมติว่าเราต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทั่วไปเป็นหลัก ก็สามารถเลือก “Equity General” แต่สำหรับการเลือก SSF สิ่งหนึ่งที่เพิ่มมาก็คือเราต้องไปที่ฟังก์ชัน “กองทุนประหยัดภาษี” และเลือก SSF เพิ่มเติมเข้าไปด้วยเพื่อเป็นคัดกรองเฉพาะกองทุน SSF ที่มีนโยบายการลงทุนแบบ “Equity General” เท่านั้น
4. จากนั้นคลิกที่ คำว่า Morningstar Rating เพื่อให้จัดเรียงกองทุนตาม Morningstar Rating ยิ่งได้รับดาวที่สูงยิ่งแปลว่าผลดำเนินการในอดีตทำได้น่าสนใจ โดยแนะนำว่าให้เลือกโฟกัสที่กองทุนที่มี 4 -5 ดาว Morningstar Rating เป็นหลัก
ซึ่งจากการเรียงลำดับจะมีกองทุน SSF ที่ได้ Morningstar Rating 4-5 ดาวเพียง 6 กองเท่านั้น (ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2566) โดยกองทุนที่ลงท้ายด้วย SSFX คือกองทุนพิเศษที่ถูกจัดตั้งมาให้ลดหย่อนภาษีพิเศษในช่วงปี 2563 เท่านั้น
ดังนั้น เราจะโฟกัสเฉพาะกองทุนที่เป็น SSF ที่มีให้เลือกเพียง 6 กองทุน
5. เอาข้อมูลทั้ง 6 กอง ไปหาข้อมูล Fund percentile ที่เว็ป https://www.wealthmagik.com/
Fund percentile คืออะไร ?
Fund percentile คือ เครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับเปรียบเทียบกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เดียวกัน โดยจะเป็นการจัดอันดับกองทุน ในแต่ละช่วงเวลาและผลตอบแทนกับมาตราวัดที่เราต้องการวัด เช่น ผลตอบแทน ความผันผวน จะมีหลักการใช้ Fund percentile สำหรับการคัดเลือกกองทุน คือ
- ด้านผลตอบแทน ค่า Percentile ยิ่งน้อย ผลตอบแทนยิ่งสูง
- ด้านความผันผวน ค่า Percentile ยิ่งน้อย ความเสี่ยงต่ำ
ตัวอย่าง กองทุน AAA-BBB-SSF พิจารณาจากผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี โดยดูที่ช่วง Percentile โดยที่กองนี้อยู่ช่วง 1-5% หมายความว่า ถ้ากองทุนรวมมี 100 กองทุน กองนี้ติดอันดับ Top 5 เราก็ดู Fund percentile ในด้านของ ผลตอบแทนย้อนหลัง ทั้ง 6 กองว่าเป็นยังไง
คำแนะนำ คือ พยายามเลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนย้อนหลังอยู่อันดับ Top 25
ทั้งนี้ อีกสิ่งที่ควรดูคือ Standard Deviation หรือการวัดความเสี่ยง โดยกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดี ค่า Standard Deviation จะสูงไปด้วยเพราะว่า Standard Deviation จะวัดความแกว่งของราคา ดังนั้น การที่ราคาแกว่งขึ้นไป ทำผลตอบแทนได้ดีมาก ๆ ค่า Standard Deviation ก็จะสูง ก็จะถูกจัด Tier ว่ากองทุนนั้นมีความเสี่ยงที่สูงด้วย
ขอขอบคุณทาง Krungthai NEXT Invest ที่เข้ามาสนับสนุนการให้ความรู้ผ่าน “ซีรีส์ #สรุปภาษีปี 2566” ในครั้งนี้
และใหม่ล่าสุด! สำหรับกองทุนที่ใช้ลดหย่อนภาษีเพิ่มได้อีก 100,000 บาท ทำให้ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรวมสูงสุดได้ถึง 600,000 บาท นั่นก็คือ กองทุนThai ESG ที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG
โดยทาง บลจ.กรุงไทย มีแนะนำ 3 กองทุน ด้วยกัน คือ
- KTAG70/30-ThaiESG ไม่หวือหวา เน้นกระจายความเสี่ยงในตราสารหนี้เฉลี่ยไม่เกิน 30%
- KTESG50-ThaiESG จับเทรนด์หุ้นตัวท็อปกลุ่ม ESG 50 ตัว
- KTAG-ThaiESG เน้นลงทุนในหุ้นเกรด A บริหารแบบ Active ยืดหยุ่นปรับพอร์ตได้ทุกภาวะตลาด
ลงทุนง่ายๆผ่าน NEXT Invest บนแอปฯ Krungthai NEXT หรือ ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
หากใครสนใจอยากศึกษาเพิ่มเติมและเปิดบัญชีลงทุน ที่นี่เลย [https://info.krungthai.com/rgq8]
ตอนนี้มีโปรฯเปิดบัญชีด้วยนะ รับฟรี! Starbucks e-Voucher 100 บาท* ตั้งแต่ 23 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2566
*จำกัด 20,000 สิทธิ์แรก เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด