ช่วงนี้หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า เศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) กันบ่อยมากขึ้น เพราะแม้เศรษฐกิจโลกเริ่มสดใสหลังโควิด-19 คลี่คลาย แต่สุดท้ายกลับมาอึมครึมอีกครั้งหลังรัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครนเมื่อปลายเดือน ก.พ. 2022 ที่ผ่านมา จนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด (The biggest war) นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มาเลยทีเดียว
สงครามครั้งนี้กินเวลามาแล้วกว่า 7 เดือน และยังไม่มีทีท่าจะจบ สร้างความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความผันผวนตลาดการเงิน ตลอดจนชีวีตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก ล่าสุด ธนาคารโลก (World Bank) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ออกมาเตือนว่า ปี 2023 โลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลายประเทศไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนจะต้องเตรียมแผนรับมือกับศึกครั้งนี้
เศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) มีที่มาที่ไปเกือบ 100 ปีมาแล้ว
พี่ทุยขอชวนย้อนดูประวัติศาสตร์สักเล็กน้อย นิยามของภาวะ Recession เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 John Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษและบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค ได้อธิบายไว้หลังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ในช่วงปี 1930 ว่าเป็นช่วงที่ระบบเศรษฐกิจผลิตสินค้าได้ลดลงและมีคนตกงานจำนวนมาก
ในช่วงเวลานี้ GDP โลกติดลบถึง 15% อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลายประเทศสูงถึง 20-40% เท่ากับว่า ทุก ๆ 5 คน จะมีคนตกงานอย่างน้อย 1-2 คน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการให้ความหมายอย่างตรงไปตรงมาและเป็นลายลักษณ์อักษรที่แน่ชัด
ต่อมา Arthur Burns และ Wesley Mitchell สองนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันของ National Bureau of Economic Research (NBER) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองด้านเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐฯ และมีหน้าที่ในการออกมาชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดภาวะถดถอยหรือไม่ ซึ่งเขาทั้งสองได้ศึกษาและติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และสังเกตว่าลักษณะของเศรษฐกิจมีรูปแบบการเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นวัฏจักร จนได้ตีพิมพ์เป็นผลงานทางวิชาการในปี 1946
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ลดลงต่อเนื่องและส่งผลเชิงลบเป็นวงกว้าง
เขาทั้งสองได้อธิบายว่า วัฏจักรเศรษฐกิจมีทั้งหมด 4 ช่วง ได้แก่ วงเศรษฐกิจขยายตัว (Expansion) เศรษฐกิจถดถอย (Recession) เศรษฐกิจหดตัว (Contraction) และเศรษฐกิจฟื้นตัว (Revival)
ช่วงที่เกิดเศรษฐกิจถดถอย หมายถึง ช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ระดับ GDP การจ้างงาน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าส่งค้าปลีก ปรับลดลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุด (Peak) มาสู่จุดต่ำสุด (Trough)
ซึ่งในช่วงนี้เอง นิยามของภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มชัดเจนขึ้น บรรดานักลงทุน นักธุรกิจ ได้นำตัวแปรเหล่านี้ ผนวกกับตัวแปรด้านการเงิน เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ราคาที่อยู่อาศัย มาใช้ประกอบการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่อีกหนึ่งนิยามที่หลายคนคุ้นเคยกัน นั่นคือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ซึ่งดูจาก GDP ติดลบต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม การเกิด Technical Recession ไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจจะถดถอยเสมอไป เนื่องจากเป็นการดูเฉพาะเชิงเทคนิคด้านตัวเลขเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันที่ GDP สหรัฐฯ ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน (Q1/22: -1.6%, Q2/22: -0.6%) แต่ทาง NBER ไม่ได้ออกมาประกาศว่าสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยแต่อย่างใด
ในระยะหลังเริ่มมีคำศัพท์ที่แสดงถึงรูปแบบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น เช่น Deep Recession (เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว) Mild Recession (เศรษฐกิจถดถอยไม่รุนแรงและฟื้นตัวได้เร็ว) Growth Recession (เศรษฐกิจเติบโต แต่มีคนตกงานจำนวนมาก) แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ภาวะเศรษฐกิจถดถอบ ก็หมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมปรับลดลงต่อเนื่องและส่งผลกระทบเชิงลบเป็นวงกว้าง
ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โลกเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Global Recession) มาแล้ว 5 ครั้ง
นับตั้งแต่ปี 1970 หรือในช่วง 50 ปีเศษที่ผ่านมา โลกได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ไล่เรียงมาตั้งแต่
ครั้งที่ 1: วิกฤตราคาน้ำมันโลกปี 1975 มีสาเหตุมาจากกลุ่มประเทศ OPEC หยุดการส่งออกน้ำมันดิบให้สหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตร ที่สนับสนุนด้านการเงินและอาวุธให้กับอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งของชาติอาหารับในกลุ่ม OPEC เป็นผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้น 4 เท่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 10% อัตราการว่างงานสูงกว่า 10% ส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ ในช่วงนี้ติดลบ 3.2% และจมอยู่ในภาวะถดถอยยาวนานถึง 16 เดือน
ครั้งที่ 2: วิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาปี 1982 จากการที่ธนาคารต่างประเทศปล่อยกู้ให้กับประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น บราซิล อาร์เจนตินา เม็กซิโก ด้วยอัตราที่ดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เพราะมองว่าประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่อีกฟากหนึ่ง เกิดปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์ในอิหร่าน เกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่า ผลักให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะ 10-15% จนต้องใช้ยาแรงด้วยขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จาก 14% เป็น 20%
สิ่งที่ตามมา คือ แม้เงินเฟ้อจะลดลง แต่ต้องแลกมาด้วยอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นมาก จน GDP สหรัฐฯ ติดลบ 1.8% ในปี 1982 ขณะที่มูลค่าหนี้ของประเทศลูกหนี้ในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 80% ต่อ GDP ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และกลายเป็นวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปในหลายประเทศ
ครั้งที่ 3: วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1975 และวิกฤตการเงินในยุโรปปี 1991 จากสงครามอิรัก-อิหร่านที่ตกลงพื้นที่ครอบครองแหล่งน้ำมันไม่ได้ อิรักจึงหันไปทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างคูเวต ทำให้นานาประเทศคว่ำบาตรอิรักทันที ผลที่ตามมา คือ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ช่วงเวลาเดียวกัน ฝั่งยุโรปก็เกิดปัญหาภาคการเงินอย่างหนัก จากการที่สวีเดนเปิดเสรีทางการเงินแต่ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ส่งผลให้ GDP สวีเดนติดลบยาวนานถึง 3 ปีติดต่อกัน ขณะเดียวกัน ก็เกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เศรษฐกิจรัสเซียและประเทศแถบยุโรปตะวันออกติดลบถ้วนหน้า นับได้ว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลกแสนสาหัสพอสมควร
ครั้งที่ 4: วิกฤตซับไพร์มปี 2009 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วงก่อนหน้านี้อยู่ในภาวะชะลอตัว รัฐบาลจึงกระตุ้นด้วยการลดดอกเบี้ย เกิดการลงทุนและการกู้เพื่อมาเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์มาก ส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้นจนเกินความเป็นจริง ส่วนสถาบันการเงินก็ปล่อยกู้โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง
ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ก็เริ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันโลกเพิ่มขึ้น 70% ภายในไม่ถึง 1 ปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สิ่งที่ตามมา คือ แม้เงินเฟ้อลดลงเหมือนเช่นเคย แต่ผู้กู้ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ เกิดหนี้เสียมหาศาล และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ขาดทุนหนักจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เฉลี่ยกว่า 50% ทันที อัตราการว่างงานกระโดดจาก 5% เป็น 10% GDP สหรัฐฯ ติดลบ 2.6% จนเข้าสู่ภาวะถดถอยยาวนานถึง 18 เดือน ว่ากันว่า วิกฤตครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจโลกไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เท่าระดับเดิม แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นวิกฤตที่ทำให้ใครหลายคนนำสัญญาณทางการเงินอย่าง Inverted Yield Curve มาทำนายวิกฤตเศรษฐกิจล่วงหน้า
ครั้งที่ 5: วิกฤตโควิด-19 ปี 2020 วิกฤตครั้งล่าสุดคงเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เพราะมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตั้งแต่ปลายปี 2019 ก่อนแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์ ปิดเมือง ปิดประเทศ งดการเดินทาง การผลิตและการขนส่งสินค้าทั่วโลกต้องหยุดชะงักเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส
ส่งผลให้ภาคการผลิตทั่วโลกหดตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทหลายแห่งขาดรายได้ ล้มละลาย และจำเป็นต้องปิดตัวลง พนักงานนับล้านกลายเป็นคนว่างงาน จนอัตราการว่างงานทั่วโลกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ GDP โลกติดลบหนักถึง 3.1% มากที่สุดในรอบกว่า 90 ปีเลยทีเดียว
อ่านเพิ่ม
- [สรุป] 9 “วิกฤตการเงิน” ครั้งใหญ่ของโลก – ไทยก็เคยเป็นจุดเริ่มวิกฤต
- ย้อนรอย “วิกฤติน้ำมันแพง” กับ “ความขัดแย้งทางการเมือง” ในประวัติศาสตร์โลก
สถานการณ์ในปัจจุบันคล้ายคลึงกับ Global Recession ที่ผ่านมา
กลับมาดูสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่นับว่าเริ่มมีกลิ่นเหมือนจะเกิดวิกฤตจนอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในที่สุด เนื่องจากเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น
1) ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน สหรัฐฯ-ไต้หวัน-จีน
2) เงินเฟ้อโลกที่ยังสูงในรอบหลายสิบปี
3) การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
4) การขาดแคลนพลังงานในยุโรป
5) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์
6) ปัญหาเสถียรภาพทางการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่
7) ปัญหาค่าเงินผันผวน เช่น ปอนด์อังกฤษ เยนญี่ปุ่น
และ 8) ปัญหา Climate Change ที่รุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ส่งผลให้ตัวแปรทางเศรษฐกิจและการเงินต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณคล้ายคลึงกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (Global Recession) ทั้ง 5 ครั้ง พี่ทุยจึงทำการเปรียบเทียบสถานการณ์ของตัวแปรต่างๆ ในปัจจุบันเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ดังตารางข้างล่าง
จากตารางด้านบน จะเห็นได้เลยว่า สัญญาณตัวแปรต่าง ๆ เกือบทั้งหมดมีลักษณะคล้ายคลึงกับวิกฤตทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่บ่อยครั้งมักจะเป็นต้นตอที่ทำให้ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อโลกอยู่ในระดับสูง จนธนาคารกลางต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ จนนำมาสู่วิกฤตเศรษฐกิจ หรือจะเป็นสัญญาณการเกิด Inverted Yield Curve ในปัจจุบันที่เหมือนกับก่อนเกิดวิกฤตซับไพร์มปี 2009 รวมถึงภาคการผลิตทั่วโลกในปัจจุบันที่มีแนวโน้มชะลอ/หดตัวเหมือนช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 ปี 2020
ยกเว้นอัตราการว่างงานทั่วโลกในปัจจุบันที่ปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จนลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี แตกต่างจากช่วงเกิดวิกฤตในอดีตที่มักอยู่ในระดับสูง สะท้อนว่า หากปีหน้าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจริง อาจจะไม่รุนแรงเท่าทุกครั้งที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ Steve Hanke ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก John Hopkins University ออกมาบอกว่า โลกมีโอกาสเผชิญกับภาวะถดถอยถึง 80% ขณะที่สถาบันวิจัยด้านการลงทุนระดับโลกหลายแห่ง บอกว่า โอกาสที่โลกจะรอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีเพียง 2% เท่านั้น
เช่นเดียวกับ ผลการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินของ Bloomberg ที่บอกว่า ยุโรปมีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากที่สุดถึง 80% ส่วนสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เสี่ยงรองลงมาที่ 75% และ 50% ตามลำดับ
อ่านเพิ่ม
- วิกฤตพลังงานยุโรป ส่อแววกระทบนักลงทุนยังไงบ้าง ?
- [บทวิเคราะห์] ทำไมถึงเกิดวิกฤต “อสังหาจีน” แล้วไทยจะเกิดมั้ย ?
ทางรอดของโลก ท่ามกลางโอกาสอันน้อยนิด
ท่ามกลางบริบทของโลก แม้จากข้อมูลทางสถิติ และการสำรวจความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้แม้ยากที่จะเลี่ยง แต่ยังพอมีทางรอด ขึ้นอยู่กับ
- รัสเซียหยุดรุกรานยูเครน นานาประเทศเลิกคว่ำบาตรรัสเซีย รวมถึงรัสเซียกลับมาส่งก๊าซให้ยุโรปเหมือนเดิม
- ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อโลกปรับลดลง
- การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศมหาอำนาจไม่กระทบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่
- จีนสามารถจัดการปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ได้เร็ว
- ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประเด็นไต้หวัน เป็นแค่เชิงสัญลักษณ์
ทางรอดของเรา ท่ามกลางความไม่แน่นอนและ เศรษฐกิจตกต่ำ
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและเร็วกว่าที่จะคาดเดาได้ ในช่วงเวลาแบบนี้ ทางรอดของเราในฐานะประชาชนและนักลงทุน มีอยู่ 3 ทาง คือ
1 “Stay Save (เก็บออม)”: ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรายได้ประจำหรือฟรีแลนซ์ จำเป็นต้องแบ่งเงินบางส่วนมาเก็บออมไว้ยามฉุกเฉินหรือใช้ในยามจำเป็น รวมถึงหยุดสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น แต่หากจำเป็นต้องดูความสามารถในการชำระหนี้เทียบรายได้ของเรา
2 “Stay Invest (ลงทุน)”: การลงทุนเป็นหนึ่งในวิธีการต่อยอดเงินของเรา แต่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่เรารู้จัก เข้าใจ และศึกษามาเป็นอย่างดีเท่านั้น ไม่ลงทุนตามกระแสโดยไม่คำนึงความเสี่ยงที่อาจตามมา
3 “Stay Safe (จัดสรร)”: จะอยู่รอดท่ามกลางความไม่แน่นอนได้ ไม่เพียงแต่ต้องเก็บออมและลงทุนเท่านั้น แต่จำเป็นต้องจัดสรรเงินออม เงินลงทุน ตลอดจนบริหารรายรับ-รายจ่ายให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงมองหาแหล่งสร้างรายได้ทางอื่นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้