หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ถือเป็นปีของการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้พี่ทุยจะพามาเจาะลึก บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “หุ้น LH” พี่ใหญ่ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย จะมีความน่าสนใจและน่าลงทุนแค่ไหน พี่ทุยได้ทำสรุปพร้อมวิเคราะห์มาให้นักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน
“หุ้น LH” ทำอะไร ?
“หุ้น LH” หรือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาโครงการที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุดพักอาศัยเพื่อขาย โดยบริษัทเน้นการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และบริษัทย่อยจะพัฒนาโครงการในจังหวัดใหญ่ ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น นครราชสีมา ภูเก็ต ประจวบฯ (หัวหิน) อุดรธานี มหาสารคาม และพระนครศรีอยุธยา
โครงสร้างรายได้ ปี 2563
ส่วนแบ่งการตลาด (Marketshare) ของบริษัท ในปี 2563 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เทียบกับยอดบ้านจดทะเบียนเพิ่มตามจำนวนหลัง จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย ได้ดังนี้
ผลการดำเนินงานปี 2561-2563
หากพิจารณาในงบปี 2563 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้และกำไรสุทธิจำนวน 31,058 ล้านบาท และ 7,145 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 6.75% และ 28.73% ตามลำดับ และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 23.01 % ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์โควิด-19
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์การโรคระบาดได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง แต่ในขณะที่กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมนั้นจะได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากแนวโน้มราคาคอนโดมิเนียมจะปรับตัวลดลงจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในตลาด ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงนั่นเอง
จุดแข็งของ “หุ้น LH”
1. อัตราเงินปันผลที่ระดับราว 8% ต่อปี
LH เป็นหุ้นที่มีเสน่ห์เรื่องปันผลสูง ซึ่งดึงดูดเหล่านักลงทุนสาย VI Investor ที่เน้นถือลงทุนยาว ๆ และคนที่ต้องการกระแสเงินสดจากการลงทุนกลับมาอย่างสม่ำเสมอ
2. มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติมเพื่อสร้างโอกาสและผลตอบแทนระยะยาวให้แก่บริษัท
เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่น เช่น บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ซึ่งทำธุรกิจโรงแรม และศูนย์การค้า ธุรกิจค้าปลีกและวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO), บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ (Q-CON) ธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHBANK), ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุน จัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์
3. LH มีกลยุทธ์ “สร้างก่อนขาย” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
บริษัทเป็นผู้นำในการผลักดันโครงการบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ในปี 2543 ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และปัจจุบันยังคงดำเนินนโยบายสร้างเสร็จก่อนขาย กลยุทธ์นี้ได้ช่วยให้การดำเนินงานของบริษัทในด้านต่าง ๆ มีความถูกต้องยิ่งขึ้น ที่สำคัญ คือ การลดต้นทุนการผลิต การสร้างบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้ ทราบถึงต้นทุนที่เกิดอย่างชัดเจน และสามารถที่จะควบคุมคุณภาพงาน ได้อย่างดียิ่ง
4. LH เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ย. 2564 หุ้น LH มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด สูงถึง 96,792.68 ล้านบาท และจัดอยู่ใน SET 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
5. แบรนด์ที่แข็งแกร่งในสินค้าที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท
ปัจจุบันการดำเนินงานของบริษัท ได้แบ่งระดับสินค้าตามแบรนด์ (Brand) โดยพิจารณาจากระดับราคาสินค้าและกลุ่มผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยส่วนประกอบทางการตลาด (Marketing Mix) และ การแบ่งส่วนตลาด (Segmentation) อย่างมีหลักเกณฑ์เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี
อัตราส่วนทางการเงินของ “หุ้น LH”
หากพิจารณาในงบปี 2563 ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ 7.95 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ที่ราคาหุ้น ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 9.80 บาท จากผลการดำเนินงานของ LH ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั่นเอง
P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่า บริษัทฯจะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมา ช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากระยะยาวนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ LH และพลิกฟื้นผลประกอบการกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ อีกทั้งยังในระยะยาวไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตลาดผู้สูงอายุจะกลายเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ในอนาคตขายได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
ในส่วนของ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.60 บาท/หุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 0.84 บาท/หุ้น
P/E Ratio เท่ากับ 10.63 เท่า ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลง จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ลดลงนั่นเอง
D/E Ratio อยู่ที่ระดับ 1.42 เท่า เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากหนี้สินรวมปี 2563 อยู่ที่ 71,970.38 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 อยู่ที่ 59,956.18 ล้านบาท
ในส่วนของ ROA และ ROE ตามหลักการแล้วยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากดูในงบปี 2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากกำไรสุทธิที่ลดลงนั่นเอง
โดย Dividend Yield อยู่ที่ 8.81% ปัจจุบัน LH มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจากกำไรสุทธิในแต่ละปี โดยมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอทุกปี ซึ่งนับว่าเหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนแบบ Passive Income
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ LH
บริษัทมีเป้าหมายที่จะคงความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุดพักอาศัยที่มีคุณภาพ เพื่อจำหน่ายให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามระดับความต้องการของลูกค้าในแต่ละระดับราคาที่แตกต่างกันไป
อนาคตของ “หุ้น LH” จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. แนวโน้มที่อยู่อาศัยปี 2564 และแผนการดำเนินงานในอนาคต
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 หากพิจารณาเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรรมีแนวโน้มชะลอตัวจากปี 2563 เล็กน้อย ประมาณการบ้านจดทะเบียนเพิ่มประเภทจัดสรรโดยรวมทั้งหมด ประมาณ 87,500 หน่วย โดยตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 8-10% ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียม มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อย ต่อเนื่องจากปี 2563
2. นโยบายภาครัฐ (ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ผลกระทบจากนโยบายการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของแบงก์ชาติ ที่ประกาศออกมาในเดือน ต.ค. 2561 ยังคงมีผลต่อเนื่องจนถึงในปี 2564 ทำให้กลุ่มลูกค้าบางส่วน ไม่สามารถได้รับการอนุมัติสินเชื่อ และจากผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลต่อการจ้างงานและรายได้ที่ลดลงของกลุ่มลูกค้าบางกลุ่ม ทำให้ไม่ได้รับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เป็นผลให้กำลังซื้อในตลาดคอนโดมิเนียมปรับลดลง และส่งผลต่อ Backlog ทันที
3. ความเสี่ยงจากการสร้างบ้านก่อนขาย
แนวโน้มการเจริญเติบโตของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท ความเสี่ยงจากการที่สร้างบ้านก่อนขายเสร็จแล้วไม่สามารถขายบ้านที่สร้างเสร็จได้ อันจะส่งผลให้บริษัทมีภาระต้นทุนสินค้าคงเหลือในปริมาณสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการหากำไรของบริษัท
4. คอนโดมิเนียม อยู่ในสภาวะ Oversupply
จากการที่มีผู้ประกอบการเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากจนเกินความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และความต้องการในการซื้อคอนโดของชาวต่างชาติลดน้อยลง LH จึงต้องพิจารณาการเปิดขายโครงการให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้น เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีความต้องการที่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันนั่นเอง
5. การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จะทำให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระต่องวดของผู้พักอาศัยเพิ่มขึ้นทำให้คนที่จะกู้มาซื้อบ้านมองว่ามีภาระต้องจ่ายหนักขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ลดลงได้