ในช่วงที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางแทบทุกประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดหลักอย่าง “เศรษฐกิจสหรัฐ” และยุโรปที่ได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 รวมทั้งมีการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบ เพื่อพยุงตลาดการเงินเอาไว้ จนปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้ามาอย่างต่อเนื่องนี้เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า สภาพคล่องล้นโลก ตามที่หลายคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว
ปริมาณเงินของ “เศรษฐกิจสหรัฐ” ไหลเข้าสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่
ทีนี้พอปริมาณเงินจำนวนมากถูกอัดฉีดเข้ามาในตลาด ธรรมชาติของเงินก็จะหาแหล่งที่อยู่ตามสินทรัพย์ของประเทศต่าง ๆ และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ก็เป็นจุดหมายปลายทางของเม็ดเงินเหล่านี้ จะเห็นได้จากสกุลเงินของบรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ เทียบดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว
ทั้ง Turkish Lira ของตุรกี Brazilian Real ของบราซิล Indian Rupee ของอินเดีย เช่นเดียวกับดัชนี MSCI Emerging Markets ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ได้รับแรงหนุนจากการทยอยฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจตลาดหลัก จากการเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมแล้วส่งออกในช่วงวิกฤตโควิด-19 เช่น อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมทั้งการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาน้ำมันที่ก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ทยอยเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ก็มีส่วนสร้างรายได้เข้าประเทศเช่นกัน
อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและค่าเงินที่แข็งค่าทำให้มูลค่าหนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ลดลง
ขณะที่การผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่องของประเทศเศรษฐกิจตลาดหลัก อย่างมาตรการ QE และการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ระดับต่ำเป็นเวลานานในช่วงก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่มีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้น
เพราะต้นทุนทางการเงินถูกลงและค่าเงินที่แข็งค่าทำให้มูลค่าหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ซึ่งบริษัทในประเทศตลาดเกิดใหม่มีภาระหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยแล้วคิดเป็นประมาณ 13% ของภาระหนี้ทั้งหมด
ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศตลาดเกิดใหม่หายใจได้คล่องขึ้น จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าปี 2021 นี้ เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มขยายตัวสูงถึง 6.3%
การฟื้นตัวของ “เศรษฐกิจสหรัฐ” ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลง
แต่จากผลกระทบอันหนักหน่วงของวิกฤตโควิด-19 ที่ยังคงสร้างแผลเป็นให้กับเศรษฐกิจและความผันผวนในตลาดการเงินอยู่ ก็ยิ่งทำให้ประเทศตลาดหลักยังต้องพิมพ์เงินอัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกันอย่างต่อเนื่อง
อย่างล่าสุดเองที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้คงเม็ดเงิน QE จำนวน 1.85 ล้านล้านยูโร หรือ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากก่อนหน้าเป็นทางฝั่งสหรัฐฯ อนุมัติวงเงินไปแล้วจำนวน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
จนตัวเลขทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกค่อย ๆ ดีขึ้น มุมมองของนักลงทุนและภาคธุรกิจต่อเศรษฐกิจโลกและ “เศรษฐกิจสหรัฐ” เริ่มเปลี่ยนไปจากช่วงที่ผ่านมา มีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเศรษฐกิจกำลังจะปรับตัวเข้าสู่ขาขึ้นแล้ว
เป็นผลให้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.พ. 64 ที่ผ่านมา เริ่มมีกระแสการปรับพอร์ตเงินลงทุนจากฝั่งประเทศตลาดเกิดใหม่ไปสู่ฝั่งสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนได้จากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (U.S. Dollar Index) ที่พลิกจากอ่อนค่าแทบทั้งปี 2563 มาแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.2% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา และกลายเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 3 เดือน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า เริ่มสร้างความกังวลมาสู่บรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่แล้วเช่นกัน เช่น ตุรกี บราซิล อินเดีย อาร์เจนตินา และแอฟริกาใต้ เป็นต้น
เพราะเศรษฐกิจยังซบเซาและยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกสักระยะ แต่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 อย่างรุนแรง และกว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 คงต้องรอให้ประเทศตลาดหลักฉีดกันไปประมาณ 70-80% ซะก่อน
ซึ่งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนี่เอง จะทำให้มูลค่าหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่าสูงขึ้น ท่ามกลางภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงอยู่ก่อนแล้วจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ภาระหนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จนมูลค่าหนี้สะสมคิดเป็น 250% ต่อ GDP และเป็นปัจจัยที่จะกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้
อ่านต่อเรื่อง ทำไม “เงินบาทอ่อนค่า” มากที่สุดในรอบ 4 เดือน ?
เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 1% ทำให้เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่เติบโตลดลง 0.3%
โดยก่อนหน้านี้ทางธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ได้ประเมินไว้ว่า หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 1% จะทำให้แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ลดลง 0.3% หรือพูดง่าย ๆ ว่า ประเทศจะสูญเสียรายได้ไป 3 หน่วย จากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 10 หน่วย
หรือต่อให้ประเทศตลาดเกิดใหม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็คงไม่ช่วยให้เงินทุนไหลกลับเข้ามาตามที่คาดหวังไว้ได้ เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจเทไปทางฝั่งสหรัฐฯ แล้ว
นอกจากนี้ค่าเงินที่อ่อนค่าลงจากเงินทุนไหลออก และเศรษฐกิจที่ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัว อาจเกิดความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลด้วย ทำให้การขอความช่วยเหลือทางการเงินจากองค์กรระหว่างประเทศจะเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น
สุดท้ายพี่ทุยว่าตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังติดตามเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างติดขอบสนาม แต่จากวิกฤตโควิด-19 ที่ได้สร้างแผลเป็นและความเหลื่อมล้ำของเส้นทางการฟื้นตัวที่แตกต่างกันเอาไว้ ซึ่งนักลงทุนอย่างเราจะยิ้มได้กว้างนั้นเศรษฐกิจแต่ละฝั่งต้องมีเส้นทางการเติบโตไปพร้อม ๆ กัน..
อ่านต่อเรื่อง เตรียมรับแรงกระแทก !! หาก “FED” ไม่ต่ออายุการปรับเกณฑ์ SLR