ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างเผชิญหน้ากับเชื้อไวรัสตัวฉกาจ จนส่งผลให้เศรษฐกิจของแทบทุกประเทศทั่วโลกติดลบกันถ้วนหน้า แต่ “เวียดนาม” เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่เศรษฐกิจรอดพ้นจากภาวะวิกฤตในครั้งนี้ จนนักลงทุนทั่วโลกต่างสนใจเข้าไป “ลงทุนเวียดนาม” กันมากมาย
ในช่วงที่ผ่านมาก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกต่างตบเท้าเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในเวียดนามจำนวนมาก จนกลายเป็นประเทศดาวเด่นแห่งเอเชีย (Asia’s Rising Star) หรือบ้างก็เรียกว่าเป็นจีนขนาดย่อม (Mini China) นักลงทุนทั่วโลกจึงยกให้เวียดนามเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่สำคัญในอนาคตเลยทีเดียว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? ปี 2565 นี้ ถึงเวลา “ลงทุนเวียดนาม” แล้วรึยัง ? ตามพี่ทุยมาเลย
GDP เวียดนาม เติบโตสวนกระแสโลก
ปี 2563 ที่ทั่วโลกเผชิญกับโควิด-19 เต็มรูปแบบเป็นปีแรก แต่มูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ (GDP) เวียดนามกลับเติบโต 2.9% สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่ติดลบ 3.1% มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ขณะที่ปี 2564 ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า GDP เวียดนามจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย เป็นรองแค่จีนและอินเดียเท่านั้น ส่วนปี 2565 ทาง IMF ก็คาดว่า GDP เวียดนามจะเติบโตได้มากกว่า 6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 4.9% เลยทีเดียว
เหตุผลสำคัญเป็นเพราะเศรษฐกิจเวียดนามได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่องจากเวียดนามเน้นการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศที่คิดเป็นกว่า 70% ของ GDP และด้วยจำนวนประชากรวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานที่มีมากกว่า 60 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศราว 100 ล้านคน ทำให้การจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าภายในประเทศมีความคึกคักสูง
ขณะเดียวกัน เวียดนามพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยคิดเป็นเพียง 5% ของ GDP (เทียบกับไทยที่ 12%) ทำให้เมื่อเกิดการล็อกดาวน์ทั่วโลก ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ เศรษฐกิจเวียดนามจึงได้รับผลกระทบในส่วนนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บริษัททั่วโลกเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตจำนวนมาก
จากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ติดกับจีนและทะเลจีนใต้ ทำให้เวียดนามสามารถเชื่อมต่อกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้ไม่ยาก รวมถึงต้นทุนการผลิตที่มีราคาถูกจากค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำกว่าหลายประเทศ (ค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าไทยเกือบ 2 เท่า) ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่บริษัทระดับโลกต่างทยอยเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตสินค้าให้เป็น Hub แห่งใหม่ภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น Foxconn, Toyota, Intel, LG, Panasonic, Microsoft เเละอื่น ๆ
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม ชี้ว่า การเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติ (FDI) เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 7% ต่อปี ในช่วง 5 ปีหลังสุด ขณะที่ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ทั่วโลกเผชิญกับโควิด-19 เต็มรูปแบบเป็นปีที่สอง ก็ยังมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 4% สวนทางกับ FDI โลกที่ยังติดลบอยู่ราว 10% ทำให้เวียดนามได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ฐานการผลิตสินค้าแห่งใหม่ของโลก หรือ New World’s Factory ดังเช่นจีนในอดีต
ล่าสุด บริษัทตัวต่อเลโก้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Lego กำลังทุ่มเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เข้ามาสร้างโรงงานผลิตของเล่นในเวียดนาม เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคหลังโควิด-19 ที่เน้น Working, Learning, Playing from Home และนับเป็นโรงงานแห่งที่ 6 ของบริษัท และแห่งที่ 2 ในเอเชีย ต่อจากยุโรป 3 แห่ง เม็กซิโก 1 แห่ง และจีน 1 แห่ง
จึงนับได้ว่า เวียดนามเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายธุรกิจต่างตบเท้าเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตสวนกระแสโลกอย่างทุกวันนี้
เวียดนามผลิตและส่งออกสินค้าติดอันดับโลก
การเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานฐานการผลิตของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทำให้เวียดนามสามารถผลิตและสร้างมูลค่าส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้นถึงปีละ 10% ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ Top20 ของโลก
โดยเฉพาะสินค้าไฮเทคและเทคโนโลยี ที่มูลค่าการส่งออกของเวียดนามเติบโตต่อเนื่องและมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มขึ้น เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับระบบ 5G ชิปประมวลผลในสมาร์ทโฟน และเครื่องใช้ไฟฟ้า จนกลายเป็นกำลังเสริมสำคัญต่อจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกชั้นนำ Top10 ของโลกอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ประชากรทั่วโลกมีความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงการส่งออกสินค้าไฮเทคของเวียดนามก็เติบโตต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามมีการปรับตัวและสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง จนสามารถเกาะขบวนรถไฟขบวนเดียวกันกับโลกได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มสดใสต่อไปในอนาคต
พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดันตลาดหุ้นเติบโตก้าวกระโดด
ถึงตรงนี้พอจะเห็นแล้วว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนามนับว่ามีความแข็งแกร่งแถมยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จนเป็นแรงดึงดูดชั้นดีให้นักลงทุนทั่วโลกโยกย้ายเงินทุนบางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากปริมาณการซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า และสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่า 10% ต่อปี
ขณะที่ในปี 2564 ดัชนีตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่าเท่าตัวจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือน มี.ค. 2563 จนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีมูลค่า Market Cap. เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนถึง 40% มาอยู่ที่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามจึงเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องและอยากมีเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนของตนเอง
จากพื้นฐานทางเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโต ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามกำลังจะเขยิบจากกลุ่ม Frontier Market หรือตลาดหุ้นกำลังพัฒนาและยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ซึ่งเวียดนามถือเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ในกลุ่มนี้ มาเป็นกลุ่ม Emerging Market หรือตลาดหุ้นที่มีเสถียรภาพ มีสภาพคล่อง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากกว่า ซึ่งสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งต่างคาดหมายกันว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะเขยิบเลื่อนชั้นได้สำเร็จ
แต่ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีข้อจำกัด เพราะธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเก่า
แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอย่างเราจำเป็นต้องรู้ นั่นคือ ธุรกิจส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นธุรกิจรูปแบบเก่า หรือ Old Industry ที่กระจุกตัวอยู่ใน 4 กลุ่มหลักเท่านั้น ได้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วนมูลค่าตลาดราว 30% ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค 20% ธุรกิจก่อสร้าง 17% และภาคการเงินการธนาคาร 15% หรือกล่าวได้ว่าธุรกิจเพียงแค่ 4 กลุ่ม ครอบคลุมมูลค่าตลาดเกินกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นเวียดนามทั้งหมด
ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Megatrends ของโลก หรือธุรกิจรูปแบบใหม่ (New Industry) อาทิ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ กลับมีสัดส่วนไม่ถึง 1% เท่านั้น
ซึ่งการที่มีธุรกิจรูปแบบใหม่ค่อนข้างน้อย จะเป็นข้อจำกัดในการสร้างการเติบโตในเชิงมูลค่าและความน่าสนใจในการดึงดูดการลงทุนในอนาคต และด้วยตลาดหุ้นเวียดนามในปัจจุบันที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Frontier Market ยังถือว่ามีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Market หรือตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น คือ เมื่อใดที่ภาวะเศรษฐกิจและความต้องการสินค้าในตลาดโลกเติบโตดี นักลงทุนมีความเชื่อมั่นก็จะช่วยให้หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อไปได้ ในทางตรงกันข้าม หากประเทศขาดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือธุรกิจที่สอดคล้องกับกระแสโลก ก็จะลดความน่าสนใจและแรงดึงดูดในการเลือกลงทุนจากนักลงทั่วโลก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตไม่โดดเด่น และอาจกลายเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจของประเทศในอนาคตด้วยเช่นกัน