ช่วงนี้ถ้าใครได้ติดตามสถานการณ์การลงทุนของปี 2021 ว่ามีอะไรน่าลงทุนบ้าง พี่ทุยเชื่อว่า น่าจะได้ยินกระแสหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นสุดยอดโลกอนาคตแน่นอน หรือแม้กระทั่งหุ้นจีนที่น่าจะเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกเรา และอีกประเทศนึงที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ “ลงทุนที่เวียดนาม”
ในปี 2020 ที่ผ่านมา เวียดนามมีเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) สูงมากกว่า 28,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เม็ดเงินลงทุนนี้มาจากทั้ง สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนประเทศไทยเองก็เข้าลงทุนในเวียดนามเช่นกัน วันนี้พี่ทุยจะมาสรุปให้ฟังเป็น 5 เหตุผล ว่าทำไมเวียดนามถึงเป็นประเทศที่เนื้อหอมอีกประเทศหนึ่งที่ถูกพูดถึงและมีนักลงทุนเข้าไปลงทุนมากอย่างต่อเนื่อง
1. เวียดนาม ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกับการทำการค้ามาก
ถ้าเราลองเปิดแผนที่ของประเทศเวียดนามดูเราจะเห็นว่าประเทศเวียดนามตั้งอยู่กลางอาเซียน อยู่ใกล้กับตลาดสำคัญหลายแห่งในเอเชียโดยเฉพาะตลาดของประเทศจีน แถมยังมีส่วนที่ติดแนวชายฝั่งทะเลลากยาวไปจนถึงทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าหลักของโลก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวียดนามถึงเหมาะกับการทำการค้ามาก
2. เวียดนามมีการเปิดเสรีการค้า (FTA) มากกว่า 17 ฉบับ รวมกว่า 50 ประเทศแถมเศรษฐกิจก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ถ้าถามว่าการเปิดเสรีการค้า 17 ฉบับ รวมกว่า 50 ประเทศเยอะมั้ย พี่ทุยขอหยิบมาเทียบกับประเทศไทยที่ ณ ปัจจุบันมีการเจรจาเปิดเสรีการค้าเพียงแค่ประมาณ 20 ประเทศเท่านั้น แปลว่าเวียดนามมีการเปิดเสรีการค้ามากกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว ยิ่งเปิดเสรีการค้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งแปลว่า ข้อจำกัดในการเข้าไปแข่งขันในตลาดใหม่ ๆ น้อยลง และยิ่งมองในแง่มุมของผู้บริโภคเองก็ยิ่งเปิดทางเลือกให้กับผู้บริโภคสินค้าที่ถูกลงด้วย
3. เวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเราลองดูตัวเลขเศรษฐกิจในปีที่แล้วที่มีการระบาดของโควิด-19 เวียดนามนั้นสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างน่าสนใจ โดยกลับมาเติบโตได้ 2.91% เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ติดลบไปกว่า -6.1% แถมในปี 2021 คาดการณ์กันว่าน่าจะเติบโตได้มากกว่า 6.5-7% อีกด้วย นอกจากนี้ถ้าเราไปดูหนี้ครัวเรือนเองก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ แปลว่าคนในประเทศเค้ายังมีพลังในการบริโภคเหลืออีกมหาศาลเลยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
4. เวียดนามมีค่าแรงถูก
ถ้าพูดถึงค่าแรงของเวียดนามนั้นมีอัตราค่าแรงที่ถูกมาก พี่ทุยลองพาไปเปรียบเทียบค่าแรงกับประเทศอื่น ๆ (คิดเป็นเงินบาท) จะได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เวียดนาม – 27.5 บาทต่อชั่วโมง
ไทย – 40.5 บาทต่อชั่วโมง
มาเลเซีย – 43.15 บาทต่อชั่วโมง
ไต้หวัน – 170.09 บาทต่อชั่วโมง
เกาหลีใต้ – 227 บาทต่อชั่วโมง
ทำให้มีนักลงทุนต่างชาติมากมายมาตั้งฐานการผลิตในเวียดนามมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตที่เน้นแรงงาน (Labor-Intensive) ที่ต้นทุนค่าแรงมีผลกระทบต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ก็จะช่วยทำให้ธุรกิจมีต้นทุนที่ถูกลง
5. มีจำนวนประชากรเกือบ 100 ล้านคน และส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยทำงาน
ถ้าเราเจาะลึกลงไปที่สัดส่วนประชากร เราจะเห็นว่าประชากรส่วนใหญ่ของเวียดนามกำลังอยู่ในวัยทำงาน ไม่ใช่วัยผู้สูงอายุแบบประเทศอื่น ๆ เมื่อรวมกับจำนวนประชากรที่สูงถึงเกือบ 100 ล้านคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ
มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลาย ๆ คน เริ่มอยากจะกระจายพอร์ตการลงทุนไปที่เวียดนามกันบ้างแล้วใช่มั้ยล่ะ สำหรับใครสนใจ “ลงทุนที่เวียดนาม” พี่ทุยขอแนะนำ “Jitta Wealth Thematic” โดยสามารถเลือกได้ลงทุนได้สูงสุด 5 ธีม จากทั้งหมด 14 ธีม ซึ่งแน่นอนว่าทาง “Jitta Wealth Thematic” มีธีมการ “ลงทุนที่เวียดนาม” ให้เราเลือกลงทุนเช่นกัน
โดยทาง “Jitta Wealth Thematic” จะเลือก ETF ที่ดี มีคุณภาพ สภาพคล่องสูง และมีขนาดของกองที่เหมาะสมเพื่อเลือกลงทุน เรียกว่าคัด ETF ที่เป็นที่สุดในแต่ละธีมมาให้เลือกลงทุน ซึ่งข้อดีของการลงทุนผ่าน ETF ก็คือ มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และยังได้รับการกระจายการลงทุนไม่ต่างจากการลงทุนแบบทั่วไป โดยไม่ต้องคอยคาดการณ์จังหวะตลาด
ธีมเวียดนาม จากทาง “Jitta Wealth Thematic” จะลงทุนผ่าน VanEck Vectors® Vietnam ETF (VNM®) อ้างอิงดัชนี MVIS® Vietnam Index (MVVNMTR®) ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ต้องมีมูลค่าทางตลาดอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐมากกว่า 28 บริษัท จดทะเบียนทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ โดยธุรกิจที่จดทะเบียนต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จะต้องมีสินทรัพย์หรือรายได้จากการทำธุรกิจในประเทศเวียดนามไม่ต่ำกว่า 50% เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามแบบแท้ ๆ เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ VNM® ยังมีข้อดี คือ ซื้อขายอยู่ในตลาดอเมริกา โดยจัดตั้งมากว่า 10 ปีแล้ว และมีมูลค่า ETF สุทธิอยู่ที่ 482 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่องเหมือนเวลาที่เราไปซื้อหุ้นหรือ ETF ที่เวียดนามโดยตรง แล้วยิ่งลงผ่าน Jitta Wealth Thematic ก็ยิ่งสะดวก สามารถกระจายเงินลงทุนเวียดนามไปพร้อม ๆ ประเทศอื่น ๆ อย่างอเมริกา จีน อินเดียได้ เวลาปรับพอร์ตก็คล่องตัว ไม่ต้องคอยโยกเงินข้ามประเทศไปมาอีกด้วย
นอกจากการลงทุนผ่าน “Jitta Wealth Thematic” ที่เปิดให้เราเลือกลงทุนได้หลากหลายธีมตามความสนใจของเราแล้ว แต่ละธีมยังเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่น่าสนใจทั้งนั้นเลยด้วย ซึ่งถ้าเราสนใจอยากเริ่มต้นเปิดพอร์ตกับ “Jitta Wealth Thematic” ก็สามารถเริ่มต้นได้เพียงแค่ 100,000 บาท และถ้าใครต้องการลงทุนเพิ่มก็สามารถทยอยลงทุนได้อีกครั้งละ 10,000 บาทไปเรื่อย ๆ ได้เลย
สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปได้ ที่นี่ นอนอยู่บ้านก็เปิดบัญชีได้ ไม่ต้องส่งเอกสารให้วุ่นวายเลย ไปสมัครกันเลย
ส่วนใครที่คิดว่าการเริ่มต้นลงทุนที่เงิน 100,000 บาท คิดว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะ พี่ทุยอยากจะบอกว่า การไปลงทุนเองโดยตรงในต่างประเทศ ตามปกติแล้วเราควรมีเงินขั้นต่ำ 500,000 บาท เพราะถ้ามีน้อยกว่านั้นจะไม่คุ้มกับต้นทุนค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าโอน ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่าง ๆ นั่นเอง
คำเตือน: ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน