Fitch Ratings ลดเครติตสหรัฐฯ เดิม AAA เหลือ AA+ หุ้น ตราสารหนี้ จะร่วงมั้ย?

Fitch Ratings ลดเครติตสหรัฐฯ เดิม AAA เหลือ AA+ หุ้น ตราสารหนี้ จะร่วงมั้ย?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • วันที่ 1 ส.ค. 2023 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่จากสหรัฐฯ Fitch Rating ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของสหรัฐฯ จากเดิมระดับ AAA สู่ระดับ AA+
  • โดยเมื่อปี 2011 S&P เคยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ มาแล้ว ส่งให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงราว 18% จากจุดสูงสุดในเดือน ก.ค. 2011 มาแตะจุดต่ำสุดในเดือน พ.ย. 2011 ส่วนดัชนี Nasdaq ก็ร่วงลงประมาณ 18% เช่นกัน โดยกลับมาแตะระดับสูงสุดเดิมในเดือน ก.พ. 2012
  • ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นบริษัทเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งมีรายได้จากทั่วโลก ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2023 ยังแข็งแกร่ง แถมรับกระแสการเติบโตของ AI จึงกลับเป็นโอกาสการลงทุนในกลุ่มหุ้นเติบโต มีพื้นฐานดี แต่ราคาลดลงจาก sentiment นี้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หลังมีความวุ่นวายในการเจรจาขยายเพดานหนี้ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านร่างกฎหมายเมื่อเดือน มิ.ย. เลี่ยงการผิดชำระหนี้ได้อย่างเฉียดฉิว แต่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Rating ก็ประกาศ ลดเครติตสหรัฐฯ ทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เหลือ AA+ ซึ่งสร้างความกังวลไปทั่วทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้

พี่ทุยเลยอยากขอพาทุกคนไปดูกันหน่อยว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนี้ น่ากังวลจริงหรือจะเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ? ถ้าพร้อมแล้วเราไปเริ่มกันเลย!!!

Fitch Rating ลดเครติตสหรัฐฯ จากหนี้พุ่ง สถานะการคลังถดถอย

ในวันที่ 1 ส.ค. 2023 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่จากสหรัฐฯ Fitch Rating ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของสหรัฐฯ จากเดิมระดับ AAA สู่ระดับ AA+

Fitch Rating มองว่ามาตรการกำกับดูแลถดถอยต่อเนื่องตลอด 20 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการเงินและหนี้สิน เนื่องจากการเจรจาขยายเพดานหนี้ที่ผ่านในนาทีสุดท้ายซึ่งมีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นด้านการบริหารจัดการ

ขณะเดียวกันรัฐบาลขาดแผนด้านการคลังในระยะกลางและกระบวนการเบิกงบประมาณที่ซับซ้อน ประกอบกับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ การลดภาษี และการใช้จ่ายของภาครัฐที่มากขึ้น ทำให้เกิดการก่อหนี้ที่มากขึ้น

ด้านสถานะการคลังมีแนวโน้มถดถอย โดย Fitch Rating คาดว่าสหรัฐฯ จะขาดดุลการคลังปี 2023 เพิ่มขึ้นมาที่ 6.3%ของ GDP จากปี 2022 อยู่ที่ 3.7% ส่วนปี 2024 เพิ่มขึ้นเป็น 6.6% และเพิ่มขึ้นอีกในปี 2025 ที่ 6.9%

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ไม่พอใจ ลั่นทำโดยพลการและข้อมูลล้าสมัย

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนี้ โดยมองว่าเป็นไปโดยพลการและใช้ข้อมูลที่ล้าสมัย โดยหากใช้มาตรวัดเดียวกันนี้จะเห็นว่าได้มีพัฒนาการขึ้นด้วยการผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนเพื่อหนุนการแข่งขันของสหรัฐฯ

และยังย้ำเพิ่มเติมอีกว่าการตัดสินใจของ Fitch Rating ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ชาวอเมริกัน นักลงทุน และผู้คนทั่วโลกรับรู้อยู่แล้วว่าพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและสภาพคล่องอันดับต้นของโลก และพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

แล้วเคยเกิดเหตุการณ์ปรับ ลดเครติตสหรัฐฯ มาก่อนหรือไม่?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ โดยเมื่อปี 2011 S&P เคยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ มาแล้ว โดยเกิดจากประเด็นความยืดเยื้อของการขยายเพดานหนี้และขนาดหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น จึงปรับลดจาก AAA มาที่ AA+ หลังมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อ ประธานบริษัท S&P Global ก็ประกาศลาออก

ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ในขณะนั้นก็ออกมาเผยว่าการตัดสินใจลดอันดับความน่าเชื่อแสดงให้เห็นว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยังขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงบประมาณการคลังสหรัฐฯ

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนั้นกลับไม่ส่งผลถึงพันธบัตรสหรัฐฯ มีเพียงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น และหลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ปรับนโยบายโดยลดการถือพันธบัตรระยะสั้นและเพิ่มการถือพันธบัตรระยะยาว ยิ่งลดแรงกดดันได้อีก

แต่ผลกระทบกลับเกิดกับตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงราว 18% จากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2011 มาแตะจุดต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายน 2011 ส่วนดัชนี Nasdaq ก็ร่วงลงประมาณ 18% เช่นกัน โดยกลับมาแตะระดับสูงสุดเดิมในเดือนกุมภาพันธ์ 2012

มุมมองการลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้สหรัฐฯ วิกฤติหรือโอกาส?

หากเปรียบเทียบสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อปี 2011 กับปัจจุบันมีความแตกต่างกันมาก เริ่มจากอัตราการว่างงานซึ่งในตอนนั้นสูงถึง 9% และภายหลังขยายเพดานหนี้ปี 2011 ภาครัฐลดการใช้จ่ายไป 0.7% ของ GDP ในปีถัดมา ส่วนข้อตกลงขยายเพดานหนี้ปัจจุบันจะลดการใช้จ่ายภาครัฐไป 0.2% ของ GDP ในปีหน้า

นอกจากนี้ขนาดตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ใหญ่มากจนกลายเป็นสินทรัพย์อ้างอิงในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือไปแล้ว ทำให้คาดว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเพียงขั้นเดียวจะไม่ส่งผลให้เกิดแรงเทขายขนาดใหญ่ออกมา โดยอาจมีความผันผวนที่มากขึ้นแต่ไม่มากเท่าเมื่อปี 2011 ส่วนราคาตราสารหนี้เอกชนอาจปรับตัวลงบ้าง (Yield เพิ่มขึ้น) จาก sentiment นักลงทุนในตลาดที่กังวลต่อข่าวดังกล่าว

ดังนั้นนี่อาจเป็นโอกาสทยอยลงทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ Investment Grade เพื่อรับอัตราผลตอบแทนที่สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปีที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีแรงเทขายออกมาบ้างจาก sentiment เช่นกัน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ประกอบกับปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นบริษัทเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งมีรายได้จากทั่วโลก ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2023 ยังแข็งแกร่ง แถมรับกระแสการเติบโตของ AI จึงกลับเป็นโอกาสการลงทุนในกลุ่มหุ้นเติบโต มีพื้นฐานดี แต่ราคาลดลงจาก sentiment นี้

สรุป Fitch Ratings ลดความน่าเชื่อสหรัฐฯ

พี่ทุยมองว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อในครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนตกใจ ตลาดมีความผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง แต่ด้วยการที่เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ขนาดตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ใหญ่มาก และโครงสร้างตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับเป็นโอกาสให้นักลงทุนที่รอคอยจังหวะการลงทุนมาตลอดปีหรือกำลังจะเพิ่มสัดส่วนลงทุนทั้งสินทรัพย์ประเภทหุ้นและตราสารหนี้

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile