หุ้น TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจอะไร และจะมีความน่าสนใจและน่าลงทุนแค่ไหน พี่ทุยได้ทำสรุปพร้อมวิเคราะห์มาให้นักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน
หุ้น TOP ทำอะไร ?
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น TOP เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายนํ้ามันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504
โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน เพื่อร่วมวางแผนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ
ขณะเดียวกัน มีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริการการขนส่งทางเรือและทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด เป็นต้น รวมถึงมีศูนย์บริหารการเงิน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการทางการเงินของกลุ่มไทยออยล์
แหล่งที่มาของกำไร ปี 2564
บริษัทฯ มีแหล่งที่ของกำไรจากธุรกิจกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียมเป็นหลัก นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกำไรจากธุรกิจกลั่นนํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจโรงผลิตกระแสไฟฟ้า และอื่นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลการดำเนินงานปี 2562 – 2564
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2564 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายจำนวน 345,985 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ทำให้ผลการดำเนินงานประจำปี 2564 กลุ่มไทยออยล์มีผลกำไรสุทธิ 12,578 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.76 %
จุดแข็งของ หุ้น TOP
1. เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่น และจำหน่ายนํ้ามันปิโตรเลียมที่ใหญ่และมีประสิทธิภาพที่สุดในประเทศไทย
โรงกลั่นนํ้ามันไทยออยล์ได้รับการออกแบบให้สามารถสร้างมูลค่าสูงสุดจากระบบการผลิตได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวันซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศและมีความสามารถในการผลิตหลากหลายผลิตภัณฑ์ครบวงจรทั้งนํ้ามันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี นํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาเปรียบเสมือนรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งก่อให้เกิดพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจากจุดเริ่มต้นในธุรกิจการกลั่นจนมาถึงปัจจุบันที่ไทยออยล์มีการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและพร้อมแล้วที่จะมุ่งไปสู่อนาคตในการสร้างสรรค์พลังงาน และเคมีภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ยั่งยืน
3. ฐานลูกค้าที่มั่นคง
ลูกค้าหลักของ TOP สัดส่วนกว่า 50% มาจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และและบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยมีธุรกรรมและความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกัน เช่น มีการซื้อขายวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ระหว่างกัน ซึ่งฐานลูกค้าที่มีความมั่นคงนี้ ทำให้ TOP มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าไปสู่ประเทศเป้าหมายใหม่ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอีกด้วย
4. ธุรกิจที่หลากหลาย
นอกจากเป็นโรงกลั่นครบวงจรแล้ว ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริการการขนส่งทางเรือและทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจใหม่ ที่สร้าง New S-Curve เป็นต้น เพื่อเป็นการปรับอัตรากำไรที่ได้ไม่เป็นวัฐจักรจนเกินไป
อัตราส่วนทางการเงินของ หุ้น TOP
หากพิจารณางบ ปี 2564
ในส่วนของ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2563 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ฟื้นตัวเร็ว โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 6.17 บาทต่อหุ้น จากงบปี 2563 อยู่ที่ -1.62 บาทต่อหุ้น
P/BV Ratio ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก บริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนโครงการ CFP ทำให้กระแสเงินสดช่วง 2 ปีข้างหน้าตึงตัว ด้วย P/BV ที่ต่ำกว่า 1 บ่งบอกว่าราคาปัจจุบันของหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น กล่าวคือในราคาปัจจุบัน นักลงทุนจ่ายเงินเพื่อเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่าเจ้าของนั่นเอง
ในส่วนของ D/E Ratio ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 1.94 เท่า เนื่องจากหนี้สินระยะสั้นและระยะยาวเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการออกหุ้นกู้จำนวน 31,120 ล้านบาท และการถือหุ้น 15.38% ใน PT Chandra Asri Petrochemical (CAP) บริษัทปิโตรเคมีครบวงจรรายใหญ่ในอินโดนีเซีย
ROA และ ROE เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามหลักการแล้วยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่งบอกว่าสามารถนำสินทรัพย์และเงินของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรสุทธิได้ในระดับที่สูง
และสุดท้ายในส่วนของ Dividend Yield ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 1.41 % เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการที่จะนำผลกำไรไปลงทุนต่อนั่นเอง โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ TOP
1. ธุรกิจของไทยออยล์ในปี 2573 จะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ประมาณ 10% ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% และธุรกิจโรงไฟฟ้า 10%
2. การเป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืน
3. การสร้างห่วงโซ่คุณค่าให้แก่ทุกโมเลกุลที่ผลิต ด้วยการต่อยอดจากธุรกิจการกลั่นนํ้ามัน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักในปัจจุบัน
4. การกระจายความเติบโตเพื่อลดความผันผวนของกําไร
5. การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและการสร้างแพลตฟอร์มสําหรับการเติบโต
อนาคตของ TOP จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร
ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร บริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นนักลงทุนจำเป็นต้องติดตามราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดมีราคาถูกกว่าน้ำมันที่เก็บสำรองไว้ บริษัทก็จะขาดทุนจากส่วนนี้ แต่กลับกันถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดแพงกว่าราคาที่เก็บสำรองไว้ บริษัทฯ ก็จะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งกำไร-ขาดทุนตรงนี้มีผลต่อภาพรวมผลประกอบการมากพอสมควร
2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ในการใช้พลังงานทางเลือกทดแทนนํ้ามัน
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการใช้พลังงานทางเลือกทดแทนนํ้ามันมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงาน โดยปัจจุบันมีการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตพลังงานทางเลือกในรูปแบบต่าง ๆ มาทดแทนนํ้ามันอย่างรวดเร็ว เช่น รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เป็นต้น
3. ธุรกิจมีความผันผวนสูง
บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ความผันผวนของค่าการกลั่น ราคาน้ำมัน และความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไร และกระแสเงินสดของบริษัท อีกทั้ง TOP ยังมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวด้านการตลาด เนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่เป็นการขายให้กับ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
4. ความเสี่ยงทางการเงิน
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange) จะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน เนื่องจาก บริษัทมีการชำระต้นทุนในการผลิตที่สำคัญ คือ นํ้ามันดิบหรือ วัตถุดิบเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงได้จัดโครงสร้างหนี้ของกลุ่มไทยออยล์ให้มีสัดส่วนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในระดับที่เหมาะสมกับโครงสร้างรายได้(Natural Hedge) ตลอดจนทำ รายการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contracts) สำหรับธุรกรรมการค้า การเบิกเงินกู้และการชำระคืนเงินกู้ให้เหมาะสมกับภาระรับจ่ายจริง
5. ค่าการกลั่น
ความสามารถในการทำกำไรของโรงกลั่นต้องดูที่ “ค่าการกลั่น” หรือ Gross Refining Margin ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบ ยิ่งค่าการกลั่นสูง กำไรจะยิ่งเยอะขึ้นตาม สำหรับปัจจัยที่กำหนดค่าการกลั่น ก็มีทั้งความต้องการใช้ เศรษฐกิจ การขนส่ง ความสามารถในการผลิต อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงต้นทุนน้ำมันดิบด้วย
6. การเพิ่มทุน จำนวนประมาณ 10,000ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้น ใน CAP หรือ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk
ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากลงทุนครั้งนี้ก็คือเงินปันผล โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้อาจก่อใหเ้กิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น (Dilution Effect) จากการที่มีหุ้น เพิ่มขึ้นได้ โดย ณ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่าง การพิจารณาโครงสร้างการระดมทุนที่เหมาะสมซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น
