นอกจากเรื่องของการซื้อผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อลดหย่อนภาษีที่ทำให้เราจ่ายภาษีน้อยลงแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ใครหลาย ๆ คนหันมาสนใจเก็บออมเงินกันมากขึ้นก็คือเรื่อง “การเกษียณอายุ” ซึ่งเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์อย่าง RMF หรือกองทุนเกษียณ เพราะเห็นภาพที่ชัด มีตัวอย่างให้เห็น ว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ความสามารถในการทำงานของคนเราจะมีประสิทธิภาพลดลง พูดง่าย ๆ ว่าเราไม่สามารถทำงานได้จนแก่นั่นเอง
จนสุดท้าย คงต้องถอยออกมาให้คนรุ่นใหม่ที่พร้อมทำงานมากกว่าเข้ามาแทนที่ และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณตัวเองก็จะเป็นวันที่รายได้หยุดลง แต่ในอีกมุมหนึ่ง รายจ่ายไม่เคยหยุดลงเลย แถมยังเมื่อมีอายุมากขึ้น รายจ่ายยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลสุขภาพ
ความเสี่ยงที่หลายคนมองข้าม: เงินเกษียณถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์
สำหรับพี่ทุยแล้วการวางแผนเกษียณอายุด้วย RMF เปรียบเหมือนการเดินทางระยะยาว ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราเกษียณได้อย่างมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น พี่ทุยเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่กำลังจะวางแผนเกษียณอายุหรือกำลังจะเกษียณอายุรู้กันอยู่แล้วว่ามีข้อควรระวังอะไรกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็น อย่าลืมคำนวณเรื่องเงินเฟ้อ ระวังค่าใช้จ่ายที่อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คิด ระวังว่าเราอึดเกินไป อายุยืนมากกว่าที่คาด ฯลฯ
แต่จริง ๆ แล้วยังมีความเสี่ยงอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง นั่นก็คือ “การที่เงินเกษียณถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์”
เนื่องจากปัญหาหนึ่งที่พบเจอบ่อยมาก ๆ สำหรับการเก็บเงินเพื่อเกษียณ ก็คือ เมื่อเงินสำหรับเกษียณอายุมีจำนวนมากก็มีแนวโน้มที่จะถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ลองคิดดูว่าถ้าเงินในกระเป๋าเรามีสัก 1,000,000 บาท แล้วเงินถูกใช้ไป 10,000-20,000 บาท เราก็จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะว่าเงินยังเหลืออีกเยอะ
หลาย ๆ ครั้งพี่ทุยเจอว่าพอเงินเกษียณเริ่มมีเยอะ เงินก้อนนี้ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์อย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าจะดาวน์รถใหม่ ดาวน์บ้านหลังใหม่ หรือแม้กระทั่งการให้รางวัลชีวิตด้วยการเที่ยวรอบโลก นี่เป็นสาเหตุที่พี่ทุยมักแนะนำให้เลือกใช้กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนเกษียณ
RMF: เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการเกษียณอายุในปี 2025
พี่ทุยเลยมักจะแนะนำว่า ถ้าต้องการเก็บเงินสำหรับการเกษียณอายุ ต้องพยายามหาแหล่งเก็บเงินที่ช่วยให้เราเก็บเงินเกษียณได้จริง ๆ อย่าง Retirement Mutual Fund (RMF) เพราะเป็นที่รู้กันว่าการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพได้รับสิทธิ “ลดหย่อนภาษี” ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร
สำหรับปี 2025 เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีด้วย RMF ได้ถูกปรับปรุงใหม่แล้ว สามารถซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 15%) และเมื่อนับรวมกับ กองทุนเพื่อการออม (SSF) ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน (กอช.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เงื่อนไขสำคัญของกองทุนเกษียณปี 2025
- การซื้อต่อเนื่อง: ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปีหรือปีเว้นปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นการบังคับให้ตัวเราเองลงทุนอย่างต่อเนื่องไปในตัว
- ระยะเวลาถือครอง: ต้องถืออย่างน้อย 5 ปีและขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์เท่านั้น
- การแจ้งความประสงค์: ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป ผู้ซื้อต้องแจ้งความประสงค์ต้องการสิทธิลดหย่อนให้บลจ.ทราบ
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ: ไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำแล้ว (เปลี่ยนจากเดิมที่ต้องซื้อขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 5,000 บาท)
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง การล็อคเงินไว้ให้ออกมาตอนวันเกษียณอายุจะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินจะสามารถใช้ได้เมื่อวันเกษียณอายุจริง ๆ
การบริหารพอร์ตกองทุนเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ กองทุนเกษียณเองก็ยังมีข้อดีในเรื่องการบริหารพอร์ตกองทุนอยู่เช่นกัน เพราะถึงแม้จะขายไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเรามองว่ากองทุนเกษียณที่เรากำลังลงทุนอยู่เริ่มมีผลประกอบการที่ไม่ดี เราสามารถสั่ง “สับเปลี่ยน” ไปยังกองทุนเกษียณที่มี “ผลการดำเนินงาน” ที่น่าสนใจหรือมี “นโยบายในการลงทุน” ที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่า
ประโยชน์ของการลงทุนแบบต่อเนื่อง
การที่กองทุนเกษียณมีเงื่อนไขให้ลงทุนต่อเนื่องจะช่วยให้เราสร้างวินัยในการออมและการลงทุน เปรียบเสมือนการทำ Dollar Cost Averaging (DCA) ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เมื่อเราซื้อในราคาเฉลี่ยตลอดช่วงเวลาที่ยาวนาน
นอกจากนี้ การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อยจะให้ประโยชน์จาก “พลังของดอกเบี้ยทบต้น” ทำให้เงินลงทุนเติบโตขึ้นแบบเรขาคณิต ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีเวลาให้เงินทำงานได้นานขึ้นเท่านั้น
ข้อดีของการสับเปลี่ยนภายใน บลจ. เดียวกัน
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถ้า “สับเปลี่ยน” กองทุนรวมที่อยู่ใน บลจ. เดียวกันอย่างกรณีที่พี่ทุยยกตัวอย่างไป เป็นกองทุนรวมจาก บลจ. บัวหลวง ทั้งหมด จะไม่มีหรือมีค่าธรรมเนียมที่น้อยกว่าการย้ายข้าม บลจ. ซึ่งอย่างบัวหลวงเองก็มีกองทุนเกษียณที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายสามารถโยกย้ายไปมาได้อย่างสะดวก
สำหรับใครที่อยากดูว่า “บลจ. บัวหลวง” มีกองทุนเกษียณอะไรบ้างให้เลือกลงทุนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ มีให้เลือกลงทุนกว่า 20 กองทุน หลากหลายนโยบายการลงทุน ช่วยให้เราสามรถสับเปลี่ยนได้อย่างไร้ขีดจำกัดเลย
ข้อควรระวังสำคัญ
เรื่องการเกษียณอายุไม่เหมือนกับการเล่นเกม ที่ถ้าเราแพ้ก็แค่เริ่มเล่นกันใหม่ ลุยกันใหม่ได้ หรือถ้าใจร้อนก็แค่กดปุ่ม Restart เริ่มต้นใหม่ได้ แต่สำหรับเรื่องของการเกษียณอายุ ถ้าหากเราพลาดแล้วเกิดเงินไม่พอเกษียณขึ้นมาจริง ๆ เราไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ พลาดแล้วคือพลาดเลย ต้องระวังกันให้ดี!
อีกสิ่งสำคัญคือ หากขายคืนกองทุนเกษียณก่อนครบ 5 ปี หรือก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับทั้งหมดพร้อมเงินเพิ่ม และหากมีกำไรจากการขายจะต้องเสียภาษีด้วย ดังนั้นต้องวางแผนการลงทุนให้ดีก่อนเริ่มต้น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในปี 2025
- ขยายกรอบการลงทุน: จากเดิม 15% เป็น 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
- ยกเลิกขั้นต่ำในการซื้อ: ไม่ต้องซื้อขั้นต่ำ 3% หรือ 5,000 บาทแล้ว
- นโยบายการลงทุนที่หลากหลายขึ้น: สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ทางเลือก และกองทุนผสม
- การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: หลาย บลจ. เริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
ด้วยความปรารถนาดีจาก บลจ. บัวหลวง และพี่ทุยเอง ♥
คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน
ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook
อ่านบทความอื่น ๆ
Comment