ลงทุนอะไรดี ? กองทุนไหนน่าลงทุน มักเป็นคำถามที่พี่ทุยได้ยินบ่อย ๆ สำหรับคนที่สนใจเริ่มต้นลงทุน ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ แต่ก่อนจะมาคุยกันว่า ลงทุนอะไรดี ความจริงแล้ว…คำถามที่ควรถามก่อนคือ “เราเป็นคนแบบไหน ?”
เพราะสไตล์การใช้เงิน ความเสี่ยงที่รับได้ และเป้าหมายชีวิตของแต่ละคนต่างก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเลือกการลงทุนที่ “เหมาะกับตัวเรา” ก็จะทำให้โอกาสที่พอร์ตจะเติบโตสวย ๆ ก็มีมากขึ้นแบบไม่ต้องฝืนใจ และไม่ทำให้เราหัวใจวายระหว่างทางด้วย เพราะการลงทุนนั้น เป็นการเดินทางที่ยาวนาน ดังนั้น เราต้องเลือกที่เหมาะกับเราที่สุด และอยู่กับมันให้ได้นานมากที่สุด
วันนี้พี่ทุย ขอพาไปดูว่า “เราเป็นคนแบบนี้” ควร ลงทุนกองทุน อะไรกันแน่ ?
ก่อนอื่นเราต้องรู้จักก่อนว่า…
กองทุนรวม คืออะไร ? ลงทุนอะไรดี น่าลงทุนมั้ย ?
กองทุนรวม คือ การรวมเงินจากนักลงทุนหลายๆ คน มาจัดตั้งเป็น ‘กองเงินก้อนใหญ่’ แล้วให้’ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ นำเงินก้อนนี้ไปบริหารจัดการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์ ตามนโยบายที่กำหนดไว้
กองทุนรวมมีกี่แบบ ?
กองทุนรวม แบ่งออกเป็นหลัก ๆ 5 ประเภท โดยหลักจะแบ่งตามทรัพย์สินที่ลงทุน และ ความเสี่ยงของกองทุนนั้น ๆ
1.กองทุนรวมตลาดเงิน (ความเสี่ยง: ต่ำมาก) สำหรับสายใจเย็น รักความปลอดภัย ไม่ชอบความวุ่นวาย
กองทุนตลาดเงินคือที่พักเงินระยะสั้นที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด และสภาพคล่องที่สูงมากครับ โดยผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของคุณไปลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปีเป็นหลัก เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารพาณิชย์ หรือเงินฝากในสถาบันการเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือดีเยี่ยม นื่องจากสินทรัพย์ที่ลงทุนมีอายุสั้นมาก ทำให้มีความผันผวนของราคาต่ำ และมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ (Credit Risk) น้อยมาก
ลงทุนใน : เงินฝาก, ตราสารหนี้ระยะสั้นมากๆ (ไม่เกิน 1 ปี)
เหมาะกับ : คนที่ต้องการ เก็บเงินฉุกเฉิน / พักเงินรอจังหวะลงทุน /เงินใช้ในระยะสั้น
ระยะเวลาการลงทุน : 6–12 เดือน เป็นที่พักพิงให้ดอกเบี้ย ดีกว่าเอาไว้ธนาคารเฉย ๆ
ข้อดี กองทุนรวมตลาดเงิน
- เสี่ยงต่ำมาก ใกล้เคียงเงินฝาก
- สภาพคล่องสูง ถอนง่าย
ข้อเสีย กองทุนรวมตลาดเงิน
- ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
- ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการเติบโตของเงินทุนระยะยาว
2.กองทุนรวมตราสารหนี้ (ความเสี่ยง: ต่ำ – ปานกลาง) สำหรับสายเนี้ยบๆ สุภาพบุรุษ สม่ำเสมอ ไม่หวือหวา
กองทุนตราสารหนี้จะนำเงินไปลงทุนใน “หนี้” ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) รวมถึงตราสารหนี้อื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อายุของตราสารหนี้ที่ลงทุนจะหลากหลายขึ้น ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ซึ่งมีผลต่อความผันผวนของกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของ ดอกเบี้ย ที่ผู้ออกตราสารจ่ายเป็นประจำ
ลงทุนใน : พันธบัตร, หุ้นกู้ (ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน)
เหมาะกับ : คนที่ต้องการเก็บเงินดาวน์บ้าน / เงินแต่งงาน / ลงทุนเสี่ยงต่ำเพื่อรักษาเงินต้น
ระยะเวลาการลงทุน : 6 เดือน–3 ปี
ข้อดี กองทุนรวมตราสารหนี้
- เสี่ยงต่ำกว่า “หุ้น” แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า “เงินฝาก”
- บางกองมีรายได้ประจำจากดอกเบี้ย
ข้อเสีย กองทุนรวมตราสารหนี้
- อาจมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยหรือผู้ออกตราสารผิดนัด
- ผลตอบแทนยังต่ำกว่ากองทุนหุ้นในระยะยาว
3.กองทุนรวมผสม (ความเสี่ยง: ปานกลาง) สำหรับสายสมดุล ชั่งน้ำหนักเก่ง เป็นสายกลางในทุกเรื่อง
กองทุนรวมผสมคือการนำเงินไปลงทุนใน สินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้ง หุ้น (เพื่อการเติบโต) และ ตราสารหนี้ (เพื่อความมั่นคงและลดความผันผวน) นอกจากนี้อาจมีการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ เพื่อกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม
ลงทุนใน : ผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ (ผู้จัดการกองทุนปรับสัดส่วนให้)
เหมาะกับ :คนที่ต้องการวางแผนเป้าหมายระยะกลาง เช่น เก็บเงินส่งลูกเรียน / ทุนทำธุรกิจ
ระยะเวลาการลงทุน : 3–5 ปี
ข้อดี กองทุนรวมผสม
- กระจายความเสี่ยงในกองเดียว
- เหมาะกับคนที่อยากลงทุนแบบ “กลาง ๆ”
ข้อเสีย กองทุนรวมผสม
- อาจสู้กองหุ้นไม่ได้ในช่วงตลาดขาขึ้น
- มีค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองเดี่ยว เพราะบริหารหลายสินทรัพย์
4.กองทุนรวมหุ้น (ความเสี่ยง: สูง) สำหรับสายกล้าลุย ทนความเจ็บได้ รู้ว่าความเสี่ยงมาคู่กับโอกาส
กองทุนรวมหุ้นจะมุ่งเน้นการลงทุนใน “หุ้น” ของบริษัทจดทะเบียน เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหุ้นในตลาดต่างประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง หรือหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เพื่อให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น มีทั้งแบบที่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ (Blue Chip), หุ้นขนาดกลาง-เล็ก, หุ้นเติบโต (Growth Stock) หรือหุ้นคุณค่า (Value Stock)
ลงทุนใน : หุ้นของบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์
เหมาะกับ :คนที่อยากวางแผนเกษียณ / สร้างความมั่งคั่งระยะยาว / ลงทุนเพื่อให้เงินโต
ระยะเวลาการลงทุน : 5 ปีขึ้นไป
ข้อดี กองทุนรวมหุ้น
- โอกาสผลตอบแทนสูงในระยะยาว
- มีหลายธีมให้เลือก เช่น หุ้นไทย หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม
ข้อเสีย กองทุนรวมหุ้น
- ผันผวนสูงมากในระยะสั้น
- ต้องใช้วินัยในการลงทุนต่อเนื่อง และใจนิ่งเวลาเกิดวิกฤต
5.กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) (ความเสี่ยง: สูง) สำหรับคนอินเทรนด์ ชอบของนอก มองการณ์ไกล มูฟออนเก่ง
กองทุนรวมต่างประเทศ หรือ FIFs คือกองทุนที่นำเงินไปลงทุนใน สินทรัพย์ที่อยู่ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ หรือลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนหลักในต่างประเทศ (Feeder Fund) ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เมกะเทรนด์ใหม่ ๆ หรือตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
ลงทุนใน : หุ้นของบริษัทต่างประเทศ
เหมาะกับ :คนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง / ลงทุนระยะยาวในเทรนด์โลก เช่น AI, พลังงานสะอาด
ระยะเวลาการลงทุน : 5-10 ปีขึ้นไป
ข้อดี กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF)
- เปิดโอกาสลงทุนในบริษัทระดับโลก เช่น Apple, Microsoft
- กระจายความเสี่ยงนอกประเทศ
- มีหลายธีมทันสมัย เช่น เทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ ESG
ข้อเสีย กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF)
- เสี่ยงค่าเงิน (บาทอ่อน/แข็งกระทบผลตอบแทน)
- ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่ากองทุนในประเทศ
- ต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศมากขึ้น
สุดท้ายนี้ พี่ทุยอยากฝากบอกว่า การลงทุนไม่ใช่เรื่องของ “ใครแนะนำ” แต่คือเรื่องของ “ใครเข้าใจตัวเองมากกว่า” ถ้าเราเลือกการลงทุนที่ “ไม่ใช่เรา” ต่อให้ผลตอบแทนดีแค่ไหน…สุดท้ายก็อยู่ไม่รอด แต่ถ้าเลือกแบบที่เหมาะกับนิสัย การเงิน และเป้าหมายของเรา พอร์ตจะโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยนะครับ
ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook
หรืออ่านบทความเพิ่มเติมได้