Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งผลกระทบอะไรบ้าง ? หุ้นไหนขึ้น หุ้นไหนลง

Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งผลกระทบอะไรบ้าง ? หุ้นไหนขึ้น หุ้นไหนลง

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และจะเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2022 โดย 3 เดือนแรก ลด 47,500 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากนั้นลด 95,000 ล้านดอลลาร์
  • ถ้าย้อนดูข้อมูลในอดีต หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว พบว่า หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +25.9% ตามด้วยหุ้นของประเทศพัฒนาแล้ว ยกเว้นสหรัฐฯ ที่ +16.2% และหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ +13.6%
  • หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ธนาคารกลางอังกฤษก็ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และธนาคารกลางอินเดียขึ้นดอกเบี้ย 0.40%

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ถ้าจะเรียกว่าที่เก็งหวยไว้ออกตรงมาก ๆ ก็น่าจะไม่ผิด เมื่อล่าสุด 4 พ.ค. 2022 ในการประชุม FOMC หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศปรับ “ขึ้นดอกเบี้ย 0.50%” เป็นไปตามที่ Jerome Powell ประธาน Fed ใบ้หวยไว้แบบตัวตรง ๆ ไม่ต้องกลับก่อนหน้านี้แล้วว่า ในรอบการประชุมเดือน พ.ค. นี้ จะขึ้นดอกเบี้ยรวดเดียว 0.50%  

วันนี้พี่ทุยก็เลยอยากชวนทุกคนมาติดตามกันว่า หลัง “Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%” แล้ว เกิดอะไรตามมาบ้าง

ผลประชุม “Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50%” 4 พ.ค. 2022

พี่ทุยขอเล่าให้ฟังก่อนดีกว่า ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนจะจบที่การขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ทาง FOMC มองเห็นปัจจัยอะไรบ้าง  

ในแถลงการณ์ระบุไว้ว่า กิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ลดลงในไตรมาสแรก แต่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจยังแข็งแกร่ง ส่วนการจ้างงานเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งหลายเดือนที่ผ่านมา อัตราการว่างงานลดลงมาก ขณะที่เงินเฟ้อยังคงเร่งตัวขึ้น เป็นผลจากความต้องการสินค้าและภาคการผลิตไม่สมดุลกัน โดยมีตัวการสำคัญคือไวรัสแพร่ระบาด ราคาพลังงานสูงขึ้น และมีแรงกดดันราคาในวงกว้าง

ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้คนและเศรษฐกิจเผชิญความยากลำบาก ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เจอความไม่แน่นอนสูง ทั้งยังเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ มีผลกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แล้วยังมีการล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19 ในจีน ที่มีส่วนทำให้ฝั่งภาคการผลิตหยุดชะงัก

มองปัจจัยเหล่านี้แล้ว คณะกรรมการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมาก โดยมีความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ในระยะยาว และคณะกรรมการก็มีจุดยืนเรื่องการใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสม

จากการที่คณะกรรมการคาดหวังให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง จึงตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เป็น 0.75-1% (+0.50% จากเดิมอยู่ที่ 0.25-0.50%)

นอกจากนี้ยังตัดสินใจเริ่มลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ของหน่วยงานรัฐ และหลักทรัพย์ค้ำประกันของหน่วยงานรัฐ ที่ปัจจุบันถืออยู่ 9 ล้านล้านดอลลาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2022 เป็นต้นไป

ในเดือน มิ.ย.-ส.ค. 2022 จะลดการถือพันธบัตรรัฐบาล 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ลดการถือตราสารหนี้หน่วยงานรัฐและหลักทรัพย์ค้ำประกันของหน่วยงานรัฐ 17,500 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากนั้น ตั้งแต่ ก.ย. 2022 เป็นต้นไป ลดการถือพันธบัตรรัฐบาล 60,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ลดการถือตราสารหนี้หน่วยงานรัฐและหลักทรัพย์ค้ำประกันของหน่วยงานรัฐ 35,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน

Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งผลกระทบอะไรบ้าง ? หุ้นไหนขึ้น หุ้นไหนลง

เกิดอะไรต่อหลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50%

พี่ทุยขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า เจ้าดอกเบี้ย Fed ที่ทุกคนจับตาว่าตกลงจะขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางตั้งไว้ สำหรับให้ธนาคารใช้เป็นดอกเบี้ยอ้างอิงในการปล่อยกู้ระยะสั้นแบบข้ามคืนให้ธนาคารด้วยกัน ถึงอัตราดอกเบี้ยนี้จะไม่ได้เป็นตัวที่ผู้บริโภคต้องจ่าย แต่สุดท้ายความเคลื่อนไหวที่เกิดกับดอกเบี้ยระหว่างธนาคารด้วยกัน ก็จะถูกส่งต่อไปถึงดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ธนาคารคิดกับลูกค้าอยู่ดี

นี่คือผลโดยตรงที่เกิดขึ้นกับดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอื่น ๆ แต่จริง ๆ แล้ว การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ยังมีผลไปถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ดึงเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าไปได้เพิ่มเติม

สินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดีหลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย

ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 5 พ.ค. 2022 ซึ่งก็ถือว่าเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความผันผวน พี่ทุยพบว่า นักลงทุนบางส่วนมีการลดการลงทุนในกลุ่มหุ้นเติบโต แล้วหันมาใส่เงิน ฝากใจไว้กับหุ้นคุณค่ามากขึ้น

หุ้นคุณค่านั้นถือเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงน้อยที่สุด โดยถ้าดูผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึง พ.ค. 2022 พบว่า กลุ่มนี้ให้ผลตอบแทน -1.1% ส่วนหุ้นเติบโต ราคาร่วงไป -14.1% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของราคาหุ้นโดยรวม ให้ผลตอบแทน -8.4%

และถ้าตัดภาพกลับไปไกลกว่านั้น พี่ทุยขอพาเพื่อน ๆ ไปดูประวัติศาสตร์ผลตอบแทนย้อนหลังแต่ละสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2000-2019 พบว่า ช่วงที่อัตราดอกเบี้ย Fed ปรับขึ้น ผ่านไป 1 ปี กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้ดีที่สุดนั้นแตกต่างกันไป

ในรอบการขึ้นดอกเบี้ยช่วง มิ.ย. 1999 – มิ.ย. 2000 สินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 63.1% ตามด้วยหุ้นเติบโตที่เป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดมาก +24.7% และอันดับ 3 เป็น หุ้นของประเทศพัฒนาแล้วที่ไม่รวมสหรัฐฯ +21.6%

ส่วนช่วง มิ.ย. 2004 – มิ.ย. 2006 สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด คือ ทองคำ +24.5% รองลงมาคือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) +24.4% และหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ยกเว้นสหรัฐฯ +21.6%

ในช่วง ธ.ค. 2015 – ม.ค. 2019 หุ้นเติบโตที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ให้ผลตอบแทนดีที่สุด +12.3% รองลงมาคือหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีการแยกกลุ่มคุณค่าและกลุ่มเติบโต +10.9% ตามด้วยหุ้นเติบโตกลุ่มคุณค่า +9.1%

เมื่อดูยอดเฉลี่ยจากทุกรอบแล้วจะพบว่า หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยดีที่สุด +25.9% ตามด้วยหุ้นของประเทศพัฒนาแล้ว ยกเว้นสหรัฐฯ +16.2% และหุ้นเติบโตที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ +13.6%

ตัดภาพมาใกล้ขึ้นอีกนิดบ้าง คือในปี 2022 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน พ.ค. หุ้นกลุ่มคุณค่า ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด -1.1% เท่านั้น ขณะที่ดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนผลตอบแทนเฉลี่ยหุ้นโดยรวม -8.4% และยิ่งไปกว่านั้นคือ หุ้นกลุ่มเติบโต -14.1%

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนี้ ก็เพราะนักลงทุนกำลังต้องการลดความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตัวเอง ดังนั้นจึงมีการโยกย้ายนำเงินไปลงทุนในหุ้นคุณค่ามากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้มีปัจจัยสนับสนุนคือ มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีผลการดำเนินงานในอดีตที่ดี ในช่วงที่มีเงินเฟ้อ

โดยรวมแล้วก็จะเห็นได้ว่า กลุ่มที่ทำผลงานโดดเด่นในแต่ละปี ก็มีสลับตำแหน่งกันได้ แปลว่าในทุกช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจจะมีดาวเด่นทำผลงานได้ดีแตกต่างกันได้

ความแตกต่างของหุ้นคุณค่ากับหุ้นเติบโต

Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งผลกระทบอะไรบ้าง ? หุ้นไหนขึ้น หุ้นไหนลง

ธนาคารกลางประเทศอื่นที่ขึ้นดอกเบี้ยไล่ตามสหรัฐฯ มาติด ๆ

หลังจากเห็นกันไปแล้วว่าเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย มีสินทรัพย์แบบไหนบ้างที่ได้ประโยชน์ คราวนี้พี่ทุยจะพามาแกะความคืบหน้ากันต่อว่า พอสิ้นเสียงมติประชุม FOMC แล้ว ธนาคารกลางประเทศไหนเดินตามรอย Fed แล้วบ้าง

ธนาคารกลางประเทศอื่นที่ขึ้นดอกเบี้ยไล่ตามสหรัฐฯ มาติด ๆ

แม้ว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยทีเดียว 0.50% จะไม่ได้ทำให้บางประเทศรู้สึกว่าต้องขึ้นดอกเบี้ยตามเร็วๆ นี้ เพราะสถานการณ์ในประเทศตัวเองไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว

แต่เมื่อดูภาพกว้างทั้งโลก ที่เจอศึกหนักเงินเฟ้อเหมือน ๆ กัน และการขึ้นดอกเบี้ยก็คือช่องทางที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ดึงเงินเฟ้อลงมาได้ ดังนั้น ก็คาดว่าจำนวนประเทศฝั่งที่รอขยับดอกเบี้ยขึ้น ก็น่าจะมีมากกว่า จำนวนประเทศที่ต้องการรักษาระดับเงินเฟ้อไว้เท่าเดิม หรือพร้อมลดดอกเบี้ยลงมาอีกแน่นอน

และด้วยภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ นักลงทุนก็คงต้องกลับมาดูแล้วว่า ยังชอบเสี่ยงแบบเดิมๆ  รึเปล่า หรือพอเห็นดอกเบี้ยขึ้น ก็ลังเล เริ่มอยากจะเทใจไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างเงินฝาก ตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม ซึ่งตรงนี้ พี่ทุยมองว่า แต่ละคนต้องกลับไปพิจารณากันเองว่า ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองเปลี่ยนไปรึเปล่า เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile