คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2021 ที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงและได้รับการยอมรับที่มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของโลกต่างก็เข้ามาร่วมลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น Morgan Stanley ถือหุ้นหลายตัวใน Grayscale Bitcoin Trust (GBTC)
รวมไปถึงประเทศต่าง ๆ ที่พากันตอบรับกระแสนี้ไม่ว่าจะเป็นเอลซัลวาดอร์และอีกหลายประเทศ ที่รับรองให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
หรือธนาคารกลางของบางประเทศที่ออกมากล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับ Bitcoin แต่ก็กำลังซุ่มกันทำ CBDC (Central Bank Digital Currency) ออกมาเพื่อใช้ภายในประเทศของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้งเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งมีประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำธุรกรรม โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง ยังสามารถนำไปต่อยอดกลายเป็น Defi, Gamefi, Nft, Metaverse, Web 3.0 และเทรนด์ต่าง ๆ อีกมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2022
วันนี้พี่ทุยเลยมาสรุปให้ฟังว่า Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 มีโดดเด่นมีอะไรบ้าง รวมถึงมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นและในปี 2022 เป็นอย่างไร ไปฟังกัน…
Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของ Bitcoin (BTC)
เหรียญแรกที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย คือ “Bitcoin” (BTC) ขอย้อนความหลังก่อนว่าในปี 2020 เกิดเหตุการณ์ที่ชื่อว่า “Bitcoin Halving” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รางวัลจากการขุด BTC จะลดลง “ครึ่งหนึ่ง” ทุก ๆ 210,000 บล็อก ซึ่งจะใช้เวลาโดยประมาณ 4 ปี
โดย BTC เกิดการ Halving มาแล้ว 3 ครั้ง ล่าสุดคือ ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2020 ลดลงจาก 12.5 BTC เป็น 6.25 BTC
สำหรับวันที่คาดการณ์ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ Halving ครั้งต่อไป คือวันที่ 13 มี.ค. 2024 หรืออีกประมาณ 2 ปี ซึ่งรางวัลจะลดลงจาก 6.25 BTC เป็น 3.125 BTC
การที่รางวัลจากการขุด BTC ลดลงทุก ๆ 4 ปี หมายความว่า อุปทานของ BTC ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก
ในขณะที่อุปสงค์ของ BTC กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นได้ในปี 2021 จากข่าวที่บริษัทและสถาบันการเงินใหญ่ระดับโลกต่าง ๆ พากันเข้าซื้อ BTC ไม่ว่าจะเป็น Tesla, MicroStrategy, Square, Goldman Sach หรือ Morgan Stanley เป็นต้น ต่างให้ความสนใจและอยากเป็นเจ้าของ BTC ทั้งนั้น
ทำให้เมื่อมีอุปสงค์หรือความต้องการเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณอุปทานในระบบที่มีลดลง ทำให้ราคา BTC ในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าสงสัย
รวมไปถึงปี 2021 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เงินในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้มูลค่าของเงิน Fiat ที่เราถืออยู่ต่างมีมูลค่าลดลง
ทำให้นักลงทุนต่าง ๆ ทั้งรายใหญ่และรายย่อต่างมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถกักเก็บมูลค่าได้ ซึ่ง BTC ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง
เนื่องจากอุปสงค์ของ BTC มีจำกัด ทำให้เงินไหลเข้ามาในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา BTC ทำ All Time High ที่ 69,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ประมาณ 145.29%
แต่แนวโน้มในปี 2022 ที่พี่ทุยอยากนำเสนอ จากการที่พี่ทุยเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต ดังนี้
1. ปี 2016 เกิดการ Halving เหมือนปี 2020
2. ปี 2017 BTC ทำ All Time High เหมือนปี 2021
3. ปี 2018 ราคา BTC กลับลงมาปรับฐานกลายเป็น “ตลาดหมี” แทบทั้งปีมูลค่า BTC ลดลงไป 80% ซึ่งปี 2022 ก็มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน
แต่พี่ทุยมองว่าปัจจัยหลายอย่างในปี 2022 ไม่เหมือนปี 2018 แล้ว เพราะ Use Case ที่เราเห็น ๆ กันอยู่ การขยายขอบเขตของธุรกิจมากมายที่เข้ามาใน Blockchain เพิ่มขึ้นมามากแบบที่หลายคนมองว่าจะมา Disrupt หลาย ๆ อุตสาหกรรมในปัจจุบันเลยทีเดียว
ดังนั้นจากปัจจัยตรงนี้ก็อาจจะส่งผลให้ตลาดหมีที่เกิดในปี 2018 อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นในปี 2022 แต่คง “ไม่หนักเท่า” หรือ อาจจะ “ไม่เกิดเลยก็เป็นได้”
Ethereum (ETH)
เหรียญต่อไปก็คงหนีไม่พ้นเจ้าตลาดที่มีมูลค่าตลาดเป็นรองแค่เพียง BTC เท่านั้น นั่นคือ “Ethereum” (ETH) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครือข่าย Blockchain ที่สามารถรองรับแอปพลิเคชันแบบ Decentralized หรือ DApp
และทำให้ DApp ทำงานร่วมกันได้อย่างอิสระ โดยมี Ether (ETH) เป็นสกุลเงินกลางที่ใช้ทำธุรกรรมบนเครือข่าย จึงทำให้มีผู้พัฒนาเข้าไปพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ ให้เกิด ขึ้นบนเครือข่าย Ethereum ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันสำหรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล การกู้ยืม การระดมทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา ETH ทำ All Time High ที่ 4,868 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 581.52% เนื่องจาก
1. บริษัทด้านการลงทุนหลายราย เช่น VanEck ของสหรัฐฯ WisdomTree ของยุโรป เป็นต้น ประกาศยื่นจดทะเบียนเพื่อเปิดกองทุน Ethereum ETF (Exchange-traded Funds)
2. การอัปเกรดครั้งใหญ่ของ ชื่อว่า Berlin Hard Fork หรือ EIP-1559 เป็นการพัฒนาโครงสร้างในการคิดค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยให้ระบบเร็วมากขึ้นและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มระบบการเผา (Burn) เหรียญเข้ามาเพื่อควบคุมปริมาณเหรียญในระบบ
3. ระบบ EIP-1559 ในทุก ๆ การทำธุรกรรมนั้นจะมีการเผา (Burn) เหรียญเกิดขึ้น เพื่อนำเหรียญออกจากระบบและทำให้ Supply ของ ETH ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาของ ETH มีแนวโน้มสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มปี 2022 ของ ETH มีแผนที่จะพัฒนาจาก Proof of work (PoW) ให้กลายเป็น “Proof of Stake” (PoS) ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนรูปแบบสำหรับบรรดานักขุด ETH เป็นอย่างมาก เนื่องจาก PoS สามารถแก้ไขจุดอ่อนของ PoW ให้มีประสิทธิภาพในการรับรองธุรกรรม ได้ดีกว่ากว่าระบบเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปรับขนาดของเครื่อข่าย เพื่อป้องกัน Ethereum จากการสูญเสียการกระจายอำนาจบนเครือข่าย ลดอุปสรรคในการเข้าถึง และยังลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองในการขุดได้อีกด้วย
Solana (SOL)
“Solana” (SOL) ได้ฉายาว่าเป็น ‘Ethereum Killer’ อยู่ภายใต้อัลกอริทึมแบบ Proof of Stake เเละการทำงานร่วมกับ Proof of History มีไว้สำหรับการทำ Smart Contact ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนา DApps ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งส่วนของ DeFi และ NFT
จุดเด่นของของ Solana คือ ความรวดเร็ว ปลอดภัย และทนต่อการถูกเซ็นเซอร์ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างแอปพลิเคชันในการปรับใช้กับธุรกรรมเป็นจำนวนมาก
โดยในปี 2021 SOL ทำ All Time High ที่ 259.90 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 มา 17,238.23%
ซึ่งเหตุผลในการทำ All Time High คือ
1. การเข้าสู่ตลาด NFTs ที่เปิดตัวคอลเล็กชัน Degenerate Apes, การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์มสตรีมเพลง Audius ที่ย้ายจาก ETH มาเข้าร่วมกับ SOL แทน, การเปิดตัวแพลตฟอร์ม Defi แลกเปลี่ยนซื้อขายคริปโต อย่าง Raydium และมีแพลตฟอร์มประเภท Web3.0 ชื่อว่า Kurobi ที่กำลังเป็นเทรด์
2. โปรเจกต์จำนวนมากซึ่งเกี่ยวข้องกับ DeFi จึงทำให้แต่ละแพลตฟอร์มต้องนำเหรียญ SOL ไปใช้
3. เนื่องจาก ETH มีปัญหาเรื่องจำนวนธุรกรรมที่แออัด ทำให้เกิดความล่าช้า และค่า Gas ที่แพง ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนามองหาทางเลือกอื่นที่มีความเร็ว และ ราคาถูก ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้
4. การสร้างสะพานระหว่างเครือข่ายของ Blockchain (Bridge) ที่ประสบความสำเร็จ ที่เรียกว่า “Wormhole”
LUNA (Terra)
“LUNA” เหรียญที่เอาไว้ใช้บนเครือข่าย Terra สัญชาติเกาหลีใต้ เป็น Open Source หรือระบบเปิด สำหรับเครือข่ายของ Stablecoin (เหรียญที่อิงมูลค่าเงิน Fiat) ที่เน้นความเสถียรภาพด้านการชำระเงินเป็นหลัก โดยโครงการหลักบน Terra ได้แก่ Mirror Protocol และ Anchor Protocol ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อรับผลตอบแทนจาก Stablecoin โดย LUNA ถูกใช้เพื่อทำให้ราคาของ Stablecoin มีเสถียรภาพ
ในปี 2021 LUNA ทำ All Time High ที่ 103.06 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปีถึง 16,745.53% เนื่องจาก
1. การอัปเกรด “Columbus-5” ของ Terra โดยที่ทุกครั้งที่มีการสร้างเหรียญ UST ขึ้นมาจะมีการเผา LUNA ซึ่งทำให้สภาพคล่องของเหรียญค่อนข้างฝืด ส่งผลให้ราคา LUNA เพิ่มขึ้นอย่างมาก
2. Terra ยังสามารถทำสถิติมูลค่าเงินที่เก็บไว้ในระบบสูงสุด (TVL: Total Value Lock) พุ่งทะลุ 6 แสนล้านบาท
3. การไปร่วมมือกับ Harmony Protocol (ONE) ที่จะเปิดใช้งานการโยก UST ไปยัง Harmony Ecosystem สะท้อนถึงความต้องการใช้ Stablecoin ที่เพิ่มมากขึ้น
Cardano (ADA)
“ADA” เหรียญลูกรักของใครหลาย ๆ คน ในปี 2021 ที่ทำ All Time High ที่ 3.101 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 1,746.60% เนื่องจากมีการอัปเกรด Alonzo ทำให้ ADA สามารถที่จะใช้ Smart Contract เหมือนกับของ ETH ได้ ทำให้ Cardano น่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะฟังก์ชัน Smart Contract จะช่วยให้ ADA สามารถใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงแพลตฟอร์ม DeFi อีกด้วย
และในปี 2022 Cardano จะมี
1. การสร้างโครงสร้างโปรเจกต์ Open Source อย่างเป็นทางการแบบเดียวกับ Hyperledger สู่ Linux เพื่อให้สถาบันหลายแห่งมีการเชื่อมต่อเข้ามา
2. มีการปรับปรุงแพลตฟอร์ม Smart Contract, Plutus (ข้อเสนอการปรับปรุง Cardano) ซึ่งมี CIPS 3 รายการ, การวางระบบ PoS และ ระบบ Peer-to-peer เพื่อให้ได้รับการทดสอบจากผู้ที่ทำการ Stake บนเครือข่าย
3. การค้นหาวิธีที่จะนำส่วนยิบย่อยเข้ามารวมกัน เพื่อรองรับการทำธุรกรรมการเงินรายย่อยแบบ End-to-End บน Cardano เพื่อให้คนที่อยู่ที่ไหนก็ได้ที่มี Blockchain สามารถเข้าถึงได้
Avalanche (AVAX)
“Avalanche” (AVAX) เป็นเหรียญประเภท Smart Contract แบบ Open Source ซึ่งเป็นชุดคำสั่งโปรแกรมที่คนอื่น ๆ สามารถเอาไปใช้ได้ฟรี ในรูปแบบที่สามารถแก้ไขและสร้างใหม่ได้ตั้งแต่ต้น ช่วยให้นักพัฒนาสามารถดึง Source Code ไปใช้พัฒนาต่อได้เลยเหมือนกับ Ethereum
ซึ่งในปี 2021 AVAX ทำ All Time High ที่ 147 ดอลลาร์ในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 4,771.10% เนื่องจาก
1. การเปิดตัว Avalanche Bridge (AB) ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยี Cross-Chain Bridging รุ่นต่อไป ช่วยให้สามารถถ่ายโอนสินทรัพย์ระหว่าง Avalanche และเครือข่าย Ethereum
2. AVAX เปิดตัวร่วมกับ Aave และ Curve ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Avalanche Rush โดยจะสนับสนุนนักพัฒนาที่สนใจทำ Dapp บนเชนนี้กว่า 180 ล้านดอลลาร์
3. การ Burn ธุรกรรมช่วยพัฒนาระบบ Tokenomic ของ AVAX ซึ่ง กลไกการ Burm ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมนี้จะไปลดอุปทานหมุนเวียนเมื่อเวลาผ่านไป
4. AVAX ประกาศร่วมมือกับบริษัทบัญชี “Big four” อย่าง Deloitte ซึ่งตัดสินใจเปิดแพลตฟอร์ม Disaster Relief บน Blockchain ของ Avalanch
Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของ แพลตฟอร์ม Smart Contract
ETH, SOL, LUNA, ADA และ AVAX ล้วนเป็นแพลตฟอร์ม “Smart Contract” ซึ่งในปี 2021 นี้ การที่ Smart Contract เติบโตได้มากอย่างก้าวกระโดด ก็ด้วยการหยิบยกข้อด้อยของ ETH หรือ เครือข่ายต่าง ๆ ที่มีความสามารถแก้ปัญหาของ ETH ได้ จึงดึงดูดผู้ใช้และนักพัฒนาให้เข้าไปใช้งาน
แต่ในปี 2022 ที่ ETH กำลังจะมีการเปลี่ยนระบบเป็น Proof of Stake ทำให้ Chian แต่ล่ะค่ายต้องหาจุดเด่นของตัวเองเพื่อดึงดูเหล่านักพัฒนาเข้ามาใช้ระบบของตน เพื่อให้เกิดการขยาย Ecosystem และดึงดึงผู้ใช้งานต่าง ๆ ให้เข้ามาทำธุรกรรมบน Chain มากขึ้น และส่งผลให้ตัวเหรียญราคาสูงตามด้วยจำนวนธุรกรรมที่เติบโตขึ้นนั่นเอง
และที่สำคัญสำหรับปี 2022 ไม่เพียงแต่การมี Smart Comtract เป็นของตัวเองแล้ว แต่การทำให้เกิดการ “Cross Chain” กันระหว่างหลาย ๆ เครือข่ายก็เป็นสิ่งที่หลายคนคาดว่าจะเป็นอีกเทรนด์ที่กำลังเป็นกระแสไม่แพ้ Web 3.0 กันเลย
FLUX
กระแสจากโลกของคริปโตอีกหนึ่งอย่างที่กำลังมาแรงมาก ๆ คงหนี้ไม่พ้น Web 3.0 ซึ่ง Web 3.0 นั้นถูกคาดหวังให้เป็น The Next Era of the Internet โดย Data ของ Web 3.0 จะกักเก็บ Data แบบ Decentralized เป็น Concept เดียวกับการใช้เทคโนโลยี Blockchain
ทำให้การทำงานผ่านเว็บไซต์นั้นปลอดภัยขึ้น ทำงานเป็นระบบ สามารถโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง ระบบ คน และอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนำไปใช้ได้กับธุรกิจอีกมากมาย
โดย “Flux” นั้นเป็นหนึ่งใน Blockchain ที่กำลังพัฒนาให้เกิด Decentralized Infrastructure และ Cloud Computing และมีแผนที่จะเปลี่ยนจาก Proof of Work ให้พัฒนาเป็น Proof of Useful Work (PoUW) โดยใช้ AI Algorithm ในการช่วยแก้ปัญหา
ถึงแม้ว่าในปี 2021 ที่ผ่านมานี้กระแส Web 3.0 จะยังมีไม่มากนักแต่ Flux ก็ทำ All Time High ที่ 2.96 ดอลลาร์ ในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นจากประมาณต้นปี 2021 ถึง 2,510.44% และยังคงทำ All Time High อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2022 ที่ 3.34 ดอลลาร์
ซึ่งหลาย ๆ คนก็จับตามองว่าปี 2022 นี้จะเป็นปีของ Web 3.0 ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมข้าม Chain และ Web 3.0 จะมาช่วยให้เราทำธุรกรรมง่ายขึ้น ผ่าน Account เดียว เช่น Metamask แต่สามารถใช้ได้ทุกเครือข่ายไม่ว่าจะอยู่บน ETH, SOL หรืออื่น ๆ ก็ตาม
รวมไปถึงการเชื่อมกิจกรรมต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตจากต่างผู้บริการเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การหาข้อมูล ทุกอย่างเกิดขึ้นบน Web 3.0 ในระบบ Blockchain ที่ข้อมูลการใช้งานและข้อมูลส่วนตัวของเราจะปลอดภัย โปร่งใสมากขึ้น และไม่ถูกนำไปใช้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของ Axie Infinity (AXS)
เกมบนโลกคริปโตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและมีจำนวนผู้เล่นเกมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงเป็นใครไม่ได้ นอกจาก “Axie Infinity” เกมนี้เป็นเกมที่มีโมเดลแบบ “Play-to-earn” (P2E) และการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเกม NFT และคริปโต ทำให้ความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รวมไปถึงการเปิดตัวโปรแกรม Stake เหรียญ AXS และแจกรางวัล Airdrop ให้กับผู้เล่นย้อนหลัง สำหรับผู้ที่มีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มของ Axie ก่อนวันที่ทางเกมกำหนด ก็ทำให้ราคา AXS เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งในปี 2021 AXS ทำ All Time High ที่ 166.09 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 40,419.64%
โดยในปี 2022 Axie Infinity มี Road Map อัปเกรดใหม่ ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Land Gameplay Community Alpha, Lunacia SDK Alpha และการอัปเกรดระบบนิเวศของเหรียญ AXS ecosystem อีกทั้งยังมีแพลนในการนำเกมลงระบบ iOS และ Android อีกด้วย
Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของ SAND
“The Sandbox” คือ “โลกเสมือนจริง” ที่ผู้เล่นสามารถสร้าง เป็นเจ้าของ หรือสัมผัสกับประสบการณ์การเล่นเกมบนเครือข่าย ETH โดยใช้ SAND ซึ่งเป็น Native Token สำหรับสร้างเกมซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนได้
รวมไปถึงมุ่งเน้นที่จะนำเสนอประสบการณ์ Metaverse ที่กระจายอำนาจและล้ำสมัย ผู้เล่นจะสามารถสร้างโลกเสมือนจริงในพื้นที่ (LAND) ของพวกเขาได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกจำกัดหรือควบคุมโดยองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ
โดยปัจจัยที่ทำให้ SAND ทำ All Time High ที่ 8.4876 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 24,466.14% มีดังนี้
1. แรงสนับสนุนเชิงบวกจากการที่ Facebook เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Meta และประกาศการเข้าสู่โลก Metaverse อย่างเต็มตัว
2. The Sandbox Alpha ที่เปิดให้ทดสอบในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2021
3. การลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่และพาร์ทเนอร์ชื่อดัง ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากการระดมทุนกว่า 93 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทการลงทุนชั้นนำอย่าง SoftBanks Vision Fund 2 รวมไปถึง Adidas เข้าซื้อที่ดิน (LAND) ภายในแพลตฟอร์ม และพาร์ทเนอร์ชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมในแพลตฟอร์ม เช่น Care Bears, Smurfs, Binance, CoinMarketCap, Gemini, The Walking Dead และอื่น ๆ
4. การเปิดประมูลที่ดินบน The Sandbox ซึ่งจำนวนที่ดินมีจำกัด แต่ความต้องการประมูลที่มีมากทำให้ SAND บวกได้
ในปี 2022 นี้ CNBC คาดว่า จะเป็นปีของการเข้ามาร่วมวงในวงการ “Metaverse” ของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ของโลก ในการเปลี่ยนตัวเชื่อมต่อจากเดิมที่ใช้แค่สมาร์ทโฟน ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น เช่น Headset ของ Meta, Google, Microsoft และ Apple (คาดการณ์) เป็นต้น เพื่อให้ตลาด Metaverse สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของ KUB
เหรียญแห่งปีที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี คือ “KUB” ปี 2021 เป็นปีของเขาจริง ๆ
เริ่มจากมีการเริ่มแจกเหรียญ KUB เป็นเหรียญ Airdrop ให้กับผู้ที่ใช้งานในแพลตฟอร์ม Bitkub เพื่อใช้เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยน Utility Coin ราคาก็พุ่งขึ้นไปในระดับนึง
จากนั้นก็เป็นข่าวใหญ่ที่สุดของปี เมื่อ “SCBS ตัดสินใจเข้ามาลงทุน” รวมเป็นมูลค่าประมาณ 17,850 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมด ดัน Bitkub ให้กลายเป็นยูนิคอร์นตัวที่ 3 ของไทย
หลังจากนั้นไม่นาน KUB ก็ประกาศร่วมมือกับธุรกิจเอกชนหลายรายทั้งในไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Ananda, The Mall และ Mastercard เป็นต้น
อีกทั้งปลายปี 2021 เหรียญ KUB ได้เข้าไปซื้อขายในกระดานเทรดคริปโตขนาดใหญ่ของโลก 3 แห่ง ได้แก่ Gate.io, CoinEx และ MEXC Global เป็นเหตุทำให้เหรียญ KUB ทำ All Time High ที่ 580 บาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2021 ถึง 3,741.06%
ซึ่งในปี 2022 Bitkub Chain จะถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้รองรับปริมาณการทำธุรกรรมในระดับที่สูงขึ้น โดยมีแผนการพัฒนาในหลายส่วน ดังนี้
1. การเปลี่ยนระบบจาก Proof of Authority (POA) ไปเป็น Proof of Stake Authority (POSA) และการสร้าง Bitkub Chain Layer-2
2. การเปิดตัว Bitkub NEXT บน Mobile Application
3. การพัฒนา NFT รูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่โลก Metaverse ในอนาคต
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับ Best of คริปโต ปี 2021 และแนวโน้มตลาด ปี 2022 ของโลกคริปโต ยังถือได้ว่าเป็นระบบที่สามารถแตกขยายไปได้เยอะมาก ๆ เลยทีเดียว
ใครไม่อยากตกเทรนด์ลองไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ในการลงทุนหรือจัดพอร์ตในปี 2022 กันได้นะ