ช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกลงมาเยอะ ๆ อย่างช่วงนี้ สิ่งหนึ่งที่เหล่าเทรดเดอร์และนักลงทุนพูดถึงกันตลอดก็คือ “The Great Depression” หรือเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการพังทลายของระบบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาในหน้าประวัติศาสตร์ คนรุ่นนี้คงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับวิกฤตร้ายแรงครั้งนี้ เพราะเกิดขึ้นมาราวร้อยปีแล้ว ส่วนมากถ้าพูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจ คนยุคนี้จะนึกถึงวิกฤตซับไพรม์ (Hamburger crisis) ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2008 แต่จากที่ได้รู้มา ขอบอกเลยว่าวิกฤตในครั้งนั้นยังรุนเเรงเทียบไม่ได้กับ The Great Depression เลย
ว่ากันว่าในช่วงที่เกิดวิกฤตนี้นั้น ถ้าเดินสวนกับคนอเมริกัน 5 คนบนท้องถนน เราจะเจอคนตกงาน 1 คนจากใน 5 คนนั้น มีเรื่องเล่าว่ามีคนที่หมดตัวค่อนข้างเยอะทั้งจากตลาดหุ้นและธุรกิจจนคิดสั้นจำนวนมาก วันนี้พี่ทุยขอชวนมาทำความรู้จักกับ The Great Depression กัน
วิกฤตนี้เศรษฐกิจครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 1929 ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ก่อนหน้าที่จะเกิดนั้น คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี ค.ศ. 1914-1918 และหลังเกิดสงครามเราก็พอจะเดากันได้ว่าแต่ละประเทศจะอ่วมกันขนาดไหน
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิด The Great Depression
1. ค่าเเรงต่ำลง
ในตอนนั้นทหารที่ปลดประจำการจากการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีมหาศาลและหลั่งไหลเข้ามาเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรม เป็นไปตามกฏของ อุปสงค์-อุปทาน ที่เมื่อมีอุปทาน ซึ่งในที่นี้คือแรงงานเยอะ ค่าแรงจึงต่ำลง ซึ่งการที่ค่าเเรงต่ำนี้ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฟองสบู่แตก รายได้ของประชาชนในสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. 1925-1928 ลดลงถึง 32% ในปี ค.ศ. 1931
2. ผลผลิตทางการเกษตรราคาต่ำ
ราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าวสาลีและข้าวไรน์ มีราคาตกลงมากเพราะมีการผลิตได้มากเกินความต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อุปสงค์ที่มีต่อแรงงานลดลง และทำให้แรงงานล้นตลาดจนค่าเเรงต่ำลง หรืออาจจะเป็นเพราะการที่มีแรงงานเยอะมากเกินไป จนทำให้ได้ผลิตผลทางการเกษตรออกมามากเกินไป ราคาของผลผลิตเหล่านั้นจึงตกลงก็เป็นได้ และทั้ง 2 ปัจจัยที่พันกันเป็นห่วงโซ่นี้ก็ทำให้เกิดปัญหาที่ 3 ตามมา
3. หนี้เสียที่เกิดจากเงินกู้
อย่างที่พี่ทุยเกริ่นไว้ในตอนแรกว่าช่วงนี้เป็นช่วงหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบบเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ก็เลยไม่สู้ดีนัก รัฐบาลก็เลยพยายามอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ โดยการปล่อยให้กู้เงินไปซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้กระทั่งการกู้เงินไปซื้อเครื่องจักรทางการเกษตร ซึ่งเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นการทำกำไรก็ยิ่งลำบากขึ้น พอผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ค่าแรงถูก แต่กู้เงินไปซื้อนู่นซื้อนี่หมด พูดง่าย ๆ ว่า รายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่าย (ดอกเบี้ยและเงินกู้) สุดท้ายก็เลยพังและก่อให้เกิดหนี้เสียในระบบมากมาย จนธนาคารต้องเจ๊งกันไปเป็นแถบ ๆ ตลาดหุ้นเองก็ฟองสบู่แตก และเหล่านักลงทุนก็โดน Force Sell กันไปมากมาย
ก่อนหน้านั้นตลาดหุ้นที่วอลล์สตรีทเฟื่องฟูมากจาก 63 จุด ในปี 1921 ก็พุ่งทะยานขึ้นเป็น 381 จุดในปี 1929 หรือประมาณ 6 เท่าใน 8 ปี จนกระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 1929 (เรารู้จักกันในฐานะ Black Thursday) ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลง 11% และต่อมาไม่กี่วัน ในวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 1929 ก็ถูกเรียกว่าเป็น Black Monday เพราะตลาดปรับตัวลงอีก 12.7%
ใน 3 ปีนั้นตลาดหุ้นอเมริกาเข้าสู่สภาวะหมีเต็มตัวโดยที่มีการเด้งขึ้นมาหายใจเป็นพัก ๆ แต่โดยรวมแล้วตลาดปรับตัวลงถึง 89.2% และไม่สามารถกลับไปยืน ณ จุดสูงสุดได้เลย จนถึงปี 1954 ซึ่งในช่วง The Great Depression ระดับอัตราว่างงานอยู่ที่ 16%
นอกจากอเมริกาแล้ว ในช่วงเวลานี้เยอรมันก็อาการหนักไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ (ตอนนั้นคือสาธารณรัฐ Weimar หรือ ไรซ์เยอรมัน) เพราะเยอรมันเป็นประเทศผู้แพ้สงครามให้กับฝ่ายพันธมิตรจึงต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศสตามพันธสัญญาแวร์ซายน์ เป็นจำนวนเงิน 6,000 ล้านปอนด์ โดยกำหนดจ่ายเป็นรายปี ปีละ 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมาก สมัยนั้นเยอรมันจึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการ “พิมพ์เงิน” ออกมา และเมื่อมีเงินหมุนเวียนในระบบมากเกินไป จึงตามมาด้วยภาวะเงินเฟ้อครั้งยิ่งใหญ่ (Hyperinflation) ถ้านึกไม่ออกว่าร้ายแรงขนาดไหนให้นึกถึงวิกฤตเวเนซุเอลาเลย จากที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.2 มาร์กต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็กลายเป็น 4,210,500,000,000 มาร์กต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปี 1923 รัฐบาลถึงขนาดออกค่าเงินใหม่ที่ชื่อว่า Rentenmark ออกมา เนื่องจากสกุลเงินเดิมมีค่าไม่ต่างไปจากกระดาษ เพราะแค่จะซื้อขนมปังก้อนเดียวก็ปาไป 200,000 ล้านมาร์กแล้ว (ต้องหอบเงินเป็นถัง ๆ ไปซื้อขนมปังก้อนเดียว ฮือ) สุดท้ายเรื่องนี้ก็ลุกลามไปจนทำให้เกิด The Great Depression ในอเมริกา และเรื่องนี้เปิดช่องว่างให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เข้ามามีบทบาทในเยอรมันและก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ในที่สุด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น พี่ทุยเลยหาภาพเปรียบเทียบ (ได้มาจาก Twitter ของ John Bollinger) ตลาดดาวโจนส์ตอนปี 1929 และปี 2020 จากเส้นกราฟราคาแบบเส้น (Line chart) เราจะเห็นลักษณะการเคลื่อนที่ของราคาที่คล้ายกัน แต่ในปี 1929 ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมาก และสาเหตุการเกิดวิกฤตทั้ง 2 นี้ก็มีความแตกต่างกันมาก อัตราการว่างงานที่เรามองว่าสูงลิ่วก็ยังคงต่ำกว่าในปี 1929 แต่สิ่งที่น่ากังวลอยู่ก็คือเรื่องของ GDP ที่ยังไงปีนี้ก็คงปรับตัวลดลงทั้งโลก ตอนนี้เราคงต้องมานั่งลุ้นกันว่าวิกฤตครั้งนี้จะได้ชื่อว่าทำให้เกิด Recession (เศรษฐกิจถดถอย) หรือ Depression (เศรษฐกิจตกต่ำ) อย่าง The Great Depression หรือไม่
Recession จะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งนักลงทุนบางคนถึงขนาดเคยบอกว่า Recession ก็คือการปรับฐาน (Correction)ในเศรษฐกิจปกติ ส่วน Depression จะเป็นอะไรที่ร้ายเเรงกว่ามากอย่าง The Great Depression
นักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray dalio และ Paul Tudor Jones ได้ออกมาให้ความเห็นว่าวิกฤตในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับ The Great Depression หลายอย่างทีเดียว เช่น มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลก ไม่มีนโยบายทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
IHS Market บอกว่าจะถือว่าเกิด Global Recession เมื่อ GDP ทั้งโลกมีการเติบโตต่ำกว่า 0.2% และได้คาดการณ์ว่าในปี 2020 GDP ทั้งโลกจะอยู่ที่ 0.7% ส่วน Goldman Sachs มองโลกในแง่ดีโดยประเมินว่าในปี 2020 นี้ GDP โลกจะอยู่ที่ 1.25% และมองว่าวิกฤตในครั้งนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในปี 1981-1982 และในปี 2008-2009 เสียอีก
มาลุ้นกันว่าหวยจะออกทางไหน เศรษฐกิจจะเป็นยังไง ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็นอย่างไร ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง แต่ยังไงก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คงจะบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์แน่นอน ตอนนี้เราเป็นคนในช่วงเวลาประวัติศาสตร์กันแล้ว ดีใจกันมั้ย ? พี่ทุยคนนึงแหละไม่ดีใจเลย ฮือ
Comment