โลกการทำงานในปี 2025 เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง งานประจำ ที่เคยเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป สำหรับประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่มาบรรจบกัน ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเข้ามาของ AI และการเปลี่ยนแปลงของแรงงานรุ่นใหม่
เศรษฐกิจไม่โต บริษัทเลือกพาร์ทไทม์แทนการจ้างงานประจำ
ปัญหาแรกเริ่มจากความผันผวนของเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ ประเทศเราขาดเครื่องยนต์หรือนวัตกรรมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถานการณ์นี้สะท้อนออกมาในตัวเลข GDP และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่แทบไม่เติบโต
ผลกระทบที่เห็นชัดคือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน:
สภาพัฒน์รายงานว่าในปี 2567 สัดส่วนพนักงานพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 42% ขณะที่พนักงานสัญญาจ้างหรือพนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 28%
บริษัทต่างๆ มองว่าการมีพนักงานที่ทำ งานประจำ ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่โตไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวมากนัก แต่พนักงานพาร์ทไทม์กลับช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก Jobsdb เผยว่ากว่า 1 ใน 4 ของบริษัทไทยกำลังเตรียมลดพนักงาน โดยเฉพาะพนักงานอายุ 40-45 ปีขึ้นไปที่มีเงินเดือนสูงแต่ประสิทธิภาพการทำงานลดลง พร้อมกับปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อลดค่าใช้จ่าย
แผนการเกษียณอายุ 55 ปีที่หลายคนวางไว้ ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้อีกต่อไป
AI เข้ามาแย่งงาน: เทคโนโลยีที่ไม่เหนื่อย ไม่ลาป่วย ไม่บ่น
ปัจจัยที่สองคือการเข้งานามาของ AI ที่กำลังแทนที่งานรูทีนในหลายตำแหน่ง เช่น คอลเซ็นเตอร์ พนักงานธุรการ งานสายการผลิต นักบัญชี และนักวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
บริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas รายงานว่าในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทเอกชนได้นำ AI เข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานแล้วกว่า 10,000 ตำแหน่ง
ทำไมองค์กรถึงหันไปใช้ AI มากขึ้น?
- การวิเคราะห์ที่แม่นยำ: AI ทำงานโดยอิงข้อมูลที่จับต้องได้ มีความสามารถเด่นด้านการวิเคราะห์ที่คนอาจคิดไม่ถึง
- เร่งการเติบโตของธุรกิจ: ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าอย่างที่ E-commerce หลายแห่งเริ่มนำมาใช้
- ลด Human Error: ไม่มีการลืม วิเคราะห์พลาด หรือทำผิดพลาดเหมือนมนุษย์
- ตรวจจับการฉ้อโกง: ธนาคารใหญ่อย่าง J.P. Morgan ใช้ AI ตรวจจับการฉ้อโกงได้แล้ว
- ทำงานได้ตลอด 24/7: ไม่เหนื่อย ไม่ลาป่วย ไม่บ่น ทำงานได้ครบครันมากกว่ามนุษย์
Gen Z ครองตลาดแรงงาน: ทำงานแตกต่าง คิดต่างจากรุ่นก่อน
ปัจจัยที่สามคือการเข้ามาของ Gen Z ที่กำลังไหลเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน Gen Z มีสัดส่วน 18.3% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ในปี 2570
ลักษณะเด่นของ Gen Z ที่ทำให้บริษัทสนใจจ้าง:
- ไม่เชื่อเรื่องความอาวุโส: เชื่อในความสามารถมากกว่าอายุงาน เชื่อข้อมูลมากกว่าประสบการณ์
- ปฏิเสธแนวทางเดิม: สิ่งที่รุ่นก่อนทำไม่จำเป็นต้องทำต่อ หากไม่เวิร์กจะไม่ทำ
- ต้องการหลักฐานจับต้องได้: ทุกอย่างต้องมีข้อมูลรองรับ
- ใส่ใจ Work-Life Balance: ไม่ยอมทำงานหามรุ่งหามค่ำจนตัวตาย
- ความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี: โตมากับมือถือ ปรับตัวได้เร็วกับเครื่องมือใหม่ ๆ
ข้อดีสำหรับองค์กร:
- เงินเดือนไม่สูงมาก
- ปรับตัวได้เร็ว
- มีทักษะเทคโนโลยี
ข้อเสีย: อัตราการลาออกเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 12-15% เพราะไม่ยึดติดกับองค์กร ไม่มองงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หากสภาพแวดล้อมไม่ดีก็พร้อมเปลี่ยนงาน
งานประจำ กับเกมใหม่ของโลกการทำงาน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งระบบการทำงาน เหมือนเกมใหม่ที่บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ ส่วนคนทำงานก็ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ให้ตอบสนองความต้องการของตลาด
แม้จะฟังดูท้าทายและน่าปวดหัว แต่หากปรับตัวได้ก็จะสนุกกับเกมใหม่นี้ได้ และอาจเป็นโอกาสให้เราค้นพบว่าตัวเองเก่งในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้
คำแนะนำสำหรับคนทำงาน:
- พัฒนาทักษะที่ AI แทนที่ไม่ได้
- เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
- สร้างรายได้หลากหลายช่องทาง
- ปรับมายเซ็ตให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
การที่ งานประจำ ไม่ใช่หลักประกันอีกต่อไปไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีอนาคต แต่หมายความว่าเราต้องสร้างอนาคตด้วยวิธีใหม่ที่สร้างสรรค์และยืดหยุ่นมากขึ้น
แหล่งข้อมูล:
- แรงงานผวา องค์กรลดคนหันจ้างพาร์ตไทม์, TNN
- งานประจำ หายาก สภาพัฒน์เผยองค์กร หันจ้างพาร์ทไทม์ – ชั่วคราว พุ่ง, กรุงเทพธุรกิจ
- เทคโนโลยี AI มีผลกระทบต่อการจ้างงานหรือไม่ และแรงงานต้องเตรียมพร้อมปรับตัวอย่างไร, DEPA
ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook
อ่านหัวข้ออื่นเพิ่มเติม