ไทยบิดเบือนค่าเงิน

ทำไมสหรัฐฯ ถึงบอกว่า ไทยอาจ “บิดเบือนค่าเงิน” ?

   Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยหลุดระดับที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเป็นแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 ปี
  • สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำว่าเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินเป็นครั้งแรก หลังจากเข้าเกณฑ์ของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ข้อ
  • ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตาเป็นพิเศษว่าอาจมีการบิดเบือนค่าเงิน (Monitoring list) ร่วมกันอีก 9 ประเทศ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตาเป็นพิเศษว่าอาจมีการ “บิดเบือนค่าเงิน”

เรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนอย่างเราต้องจับตากันเป็นพิเศษ เพราะค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องเรื่อย ๆ มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากและต่อเนื่องแบบนี้อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักได้

โดยค่าเงินบาทล่าสุดได้หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ซึ่งวิ่งอยู่ราวๆ 29.8-29.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นระดับที่ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว จนล่าสุดเรื่องค่าเงินบาทกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อพี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ ออกมาบอกว่ามีบางประเทศ “บิดเบือนค่าเงิน” หรือแทรกแซงค่าเงินเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และมีอีกหลายประเทศที่กำลังถูกสหรัฐฯ จับตาอยู่อย่างใกล้ชิด

3 เกณฑ์ตัดสินของสหรัฐฯ ว่าประเทศใด “บิดเบือนค่าเงิน”

ต้องบอกว่า เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ทำการค้าขายกับแทบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเรื่องค่าเงินก็เป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ เพราะค่าเงินคือราคาซึ่งเป็นทั้งต้นทุนและกำไรได้ในเวลาเดียวกัน หากค่าเงินแข็งค่าหรืออ่อนค่าจนเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและนักธุรกิจสหรัฐฯ ได้เช่นกัน

ทางสหรัฐฯ ก็เลยได้ตั้งเกณฑ์ขึ้นมา 3 ข้อ เพื่อตัดสินว่าประเทศแอบ “บิดเบือนค่าเงิน” (หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ ปั่นค่าเงิน) เพื่อให้ประเทศของตนมีความได้เปรียบในการทำมาค้าขายกับสหรัฐฯ หรือปล่าว โดยเกณฑ์ 3 ข้อ มีดังนี้

1. ประเทศนั้นมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

รายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่ารายจ่ายในการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เกินกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปีหรือไม่

2. ประเทศนั้นมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด

รายรับจากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศมากกว่ารายจ่าย เกินกว่า 2% ของ GDP ประเทศหรือไม่

3. ประเทศนั้นมีการแทรกแซงค่าเงินต่อเนื่อง

โดยดูจากการสะสมเงินทุนสำรองระหว่าประเทศว่าเกินกว่า 2% ของ GDP ประเทศหรือไม่

สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามถูกขึ้นบัญชีดำว่า “บิดเบือนค่าเงิน” (Currency manipulator)

สวิตเซอร์แลนด์และและเวียดนามคือ 2 ประเทศที่โดนสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเป็นครั้งแรกว่าเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงิน (Currency manipulator) เพื่อให้ประเทศตนเองมีความได้เปรียบการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนั้นเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อที่สหรัฐฯ ตั้งไว้

โดยสวิตเซอร์แลนด์

  • มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปี
  • มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 8.8% ของ GDP และ
  • มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 14.2% ของ GDP 

ขณะที่เวียดนาม

  • มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 4.6% ของ GDP และ
  • มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 5.1% ของ GDP 

จะเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศต่างมีเงื่อนไขแต่ละข้อเกินเกณฑ์ที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ทั้งหมด

หลังจากที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีทั้งสวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามว่าเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินแล้วนั้น ทางธนาคารกลางของทั้ง 2 ประเทศก็ออกมาชี้แจงเลยว่า ประเทศของตนไม่ได้มีนโยบายบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่อย่างใด แต่ที่ทำไปนั้นก็เพื่อเป็นการดูแลเศรษฐกิจและตลาดการเงินในประเทศเท่านั้น

ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Monitoring list)

ในส่วนของไทยนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ ต้องจับตาเป็นพิเศษว่าอาจมีการบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงิน (Monitoring list) เนื่องจากไทยเข้าตามเกณฑ์ของสหรัฐฯ 2 ใน 3 ข้อ

โดยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เล็กน้อยที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปี และมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 6.3% ของ GDP แต่มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 1.8% ของ GDP ทำให้ไทยรอดจากการถูกขึ้นบัญชีดำในการเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินอย่างหวุดหวิด

เพราะถ้าหากไทยโดนขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐฯขึ้นมา การทำธุรกิจ การค้าการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะมีเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้น และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวจากไข้ไม่มากก็น้อย

นอกจากไทยแล้วยังมีอีก 9 ประเทศที่ถูกสหรัฐฯ กำลังจับตาด้วยเช่นกัน

ได้แก่ จีน (เป็นประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำเมื่อรอบที่แล้ว เนื่องจากสองประเทศนี้ทำสงครามการค้าระหว่างกัน) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย เยอรมนี และอิตาลี

ทำไมการ “บิดเบือนค่าเงิน” ถึงเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ

พี่ทุยอยากบอกว่า นอกจากเรื่องจะมีผลต่อการค้าขายระหว่างประเทศแล้วนั้น โดยปกติการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ควรจะขึ้นอยู่กับกลไกตลาดหรือระดับอุปสงค์อุปทานของเงินสกุลนั้น เช่น เมื่อมีความต้องการเงินสกุลใดมาก ไม่ว่าจะมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่ต้องการแลกเงินสกุลนั้น ค่าเงินก็จะแข็งค่าขึ้นมา ในทางตรงกันข้าม หากสกุลเงินใดที่นักลงทุนเริ่มหมดความเชื่อมั่น นักธุรกิจแลกสกุลเงินนั้นกลับ ค่าเงินก็จะกลับไปอ่อนค่า

ซึ่งการที่เข้าไปบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงินมันเสมือนเป็นการทำให้มูลค่าของเงินเปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็นในบางครั้ง อย่างไรก็ตามการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เพราะในบางครั้งการดำเนินนโยบายแบบนี้ก็เป็นการวกกลับมาดูแลและรักษาเศรษฐกิจให้มีเสถียรถาพ

ดังนั้นในช่วงที่ค่าเงินผันผวนในทิศทางที่แข็งค่าแบบนี้ นักลงทุนอย่างเราคงต้องทำการบ้านมากขึ้นว่าการลงทุนในภาวะแบบนี้ควรจะเป็นในรูปแบบใดหรือมีวิธีที่ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินอย่างไรบ้าง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile