ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตาเป็นพิเศษว่าอาจมีการ “บิดเบือนค่าเงิน”
เรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนอย่างเราต้องจับตากันเป็นพิเศษ เพราะค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องเรื่อย ๆ มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากและต่อเนื่องแบบนี้อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักได้
โดยค่าเงินบาทล่าสุดได้หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ซึ่งวิ่งอยู่ราวๆ 29.8-29.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นระดับที่ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว จนล่าสุดเรื่องค่าเงินบาทกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อพี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ ออกมาบอกว่ามีบางประเทศ “บิดเบือนค่าเงิน” หรือแทรกแซงค่าเงินเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และมีอีกหลายประเทศที่กำลังถูกสหรัฐฯ จับตาอยู่อย่างใกล้ชิด
3 เกณฑ์ตัดสินของสหรัฐฯ ว่าประเทศใด “บิดเบือนค่าเงิน”
ต้องบอกว่า เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ทำการค้าขายกับแทบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเรื่องค่าเงินก็เป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ เพราะค่าเงินคือราคาซึ่งเป็นทั้งต้นทุนและกำไรได้ในเวลาเดียวกัน หากค่าเงินแข็งค่าหรืออ่อนค่าจนเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและนักธุรกิจสหรัฐฯ ได้เช่นกัน
ทางสหรัฐฯ ก็เลยได้ตั้งเกณฑ์ขึ้นมา 3 ข้อ เพื่อตัดสินว่าประเทศแอบ “บิดเบือนค่าเงิน” (หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ ปั่นค่าเงิน) เพื่อให้ประเทศของตนมีความได้เปรียบในการทำมาค้าขายกับสหรัฐฯ หรือปล่าว โดยเกณฑ์ 3 ข้อ มีดังนี้
1. ประเทศนั้นมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
รายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่ารายจ่ายในการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เกินกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปีหรือไม่
2. ประเทศนั้นมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
รายรับจากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศมากกว่ารายจ่าย เกินกว่า 2% ของ GDP ประเทศหรือไม่
3. ประเทศนั้นมีการแทรกแซงค่าเงินต่อเนื่อง
โดยดูจากการสะสมเงินทุนสำรองระหว่าประเทศว่าเกินกว่า 2% ของ GDP ประเทศหรือไม่
สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามถูกขึ้นบัญชีดำว่า “บิดเบือนค่าเงิน” (Currency manipulator)
สวิตเซอร์แลนด์และและเวียดนามคือ 2 ประเทศที่โดนสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเป็นครั้งแรกว่าเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงิน (Currency manipulator) เพื่อให้ประเทศตนเองมีความได้เปรียบการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนั้นเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อที่สหรัฐฯ ตั้งไว้
โดยสวิตเซอร์แลนด์
- มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปี
- มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 8.8% ของ GDP และ
- มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 14.2% ของ GDP
ขณะที่เวียดนาม
- มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 4.6% ของ GDP และ
- มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 5.1% ของ GDP
จะเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศต่างมีเงื่อนไขแต่ละข้อเกินเกณฑ์ที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ทั้งหมด
หลังจากที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีทั้งสวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามว่าเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินแล้วนั้น ทางธนาคารกลางของทั้ง 2 ประเทศก็ออกมาชี้แจงเลยว่า ประเทศของตนไม่ได้มีนโยบายบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่อย่างใด แต่ที่ทำไปนั้นก็เพื่อเป็นการดูแลเศรษฐกิจและตลาดการเงินในประเทศเท่านั้น
ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Monitoring list)
ในส่วนของไทยนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ ต้องจับตาเป็นพิเศษว่าอาจมีการบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงิน (Monitoring list) เนื่องจากไทยเข้าตามเกณฑ์ของสหรัฐฯ 2 ใน 3 ข้อ
โดยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เล็กน้อยที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 1 ปี และมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคิดเป็น 6.3% ของ GDP แต่มีการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 1.8% ของ GDP ทำให้ไทยรอดจากการถูกขึ้นบัญชีดำในการเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินอย่างหวุดหวิด
เพราะถ้าหากไทยโดนขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐฯขึ้นมา การทำธุรกิจ การค้าการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะมีเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้น และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวจากไข้ไม่มากก็น้อย
นอกจากไทยแล้วยังมีอีก 9 ประเทศที่ถูกสหรัฐฯ กำลังจับตาด้วยเช่นกัน
ได้แก่ จีน (เป็นประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำเมื่อรอบที่แล้ว เนื่องจากสองประเทศนี้ทำสงครามการค้าระหว่างกัน) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย เยอรมนี และอิตาลี
ทำไมการ “บิดเบือนค่าเงิน” ถึงเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ
พี่ทุยอยากบอกว่า นอกจากเรื่องจะมีผลต่อการค้าขายระหว่างประเทศแล้วนั้น โดยปกติการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ควรจะขึ้นอยู่กับกลไกตลาดหรือระดับอุปสงค์อุปทานของเงินสกุลนั้น เช่น เมื่อมีความต้องการเงินสกุลใดมาก ไม่ว่าจะมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่ต้องการแลกเงินสกุลนั้น ค่าเงินก็จะแข็งค่าขึ้นมา ในทางตรงกันข้าม หากสกุลเงินใดที่นักลงทุนเริ่มหมดความเชื่อมั่น นักธุรกิจแลกสกุลเงินนั้นกลับ ค่าเงินก็จะกลับไปอ่อนค่า
ซึ่งการที่เข้าไปบิดเบือนหรือแทรกแซงค่าเงินมันเสมือนเป็นการทำให้มูลค่าของเงินเปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็นในบางครั้ง อย่างไรก็ตามการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เพราะในบางครั้งการดำเนินนโยบายแบบนี้ก็เป็นการวกกลับมาดูแลและรักษาเศรษฐกิจให้มีเสถียรถาพ
ดังนั้นในช่วงที่ค่าเงินผันผวนในทิศทางที่แข็งค่าแบบนี้ นักลงทุนอย่างเราคงต้องทำการบ้านมากขึ้นว่าการลงทุนในภาวะแบบนี้ควรจะเป็นในรูปแบบใดหรือมีวิธีที่ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินอย่างไรบ้าง