ค่าเบต้า (Beta) คือ เป็นหนึ่งในดัชนีวัดความเสี่ยงที่เป็นระบบ ที่บอกถึง “ความรุนแรงและทิศทาง” การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ใด ๆ เช่น หุ้น PTT เปรียบเทียบกับอัตราการเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนของดัชนีตลาดโดยรวมอย่าง SET Index
ซึ่งความเสี่ยงที่ค่าเบต้าสะท้อนออกมานั้น มาจาก “ความผันผวนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวธุรกิจ” เป็นความเสี่ยงที่ตลาดเผชิญเหมือน ๆ กัน และมีผลต่อแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์โดยรวม เช่น ความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อ, ความผันผวนของราคาน้ำมัน เป็นต้น
ประเภทของค่าเบต้า (Beta)
- ค่าเบต้า “เท่ากับ 1” แสดงว่าอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์หรือความผันผวนของราคาใกล้เคียงและไปในทิศทางเดียวกับตลาด
- ค่าเบต้า “เท่ากับ 0” แสดงว่าหลักทรัพย์นั้นไม่ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของตลาด เป็น Risk free asset เช่น พันธบัตรรัฐบาล
- ส่วนค่าเบต้า “มากกว่า 1” แสดงว่าหลักทรัพย์นั้นมีความผันผวนคล้ายกับตลาด เป็นหลักทรัพย์ที่เหมาะกับการลงทุนช่วงตลาดขาขึ้น เพราะจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่แลกมาด้วยความเสี่ยงสูงหากตลาดอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น หากเป็นการลงทุนระยะสั้นควรพิจารณาแนวโน้มและทิศทางตลาดให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน จึงเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้มาก
- ถ้าค่าเบต้า “น้อยกว่า 1 แต่มากกว่า 0” แสดงว่าหลักทรัพย์นั้นมีความผันผวนของราคาน้อยกว่าตลาด
แบ่งค่าเบต้ากลุ่มที่ “น้อยกว่า 1 แต่มากกว่า 0” เป็น 2 กรณี คือ
“ค่าเบต้าเข้าใกล้ 0” เป็นหุ้นที่เงินปันผลสูง ส่วนมากเป็นหุ้นในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเหมาะสมกับการลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา เพราะ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ทำให้พอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนมากนักเมื่อตลาดเป็นขาลง หรือเกิด Shock ในระยะสั้น เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงและพยายามรักษาเงินต้นให้คงอยู่มากที่สุด
“ค่าเบต้าเข้าใกล้ 1” เป็นหุ้นที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดค่อนข้างมาก แต่ก็ยังน้อยกว่าตลาด เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงเท่ากับตลาดในเวลาที่หุ้นเกิดความผันผวน แต่ยังต้องการผลตอบแทนที่ใกล้เคียงตลาดในเวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้น
- และสุดท้าย ค่าเบต้า “น้อยกว่า 0” แสดงว่าหลักทรัพย์นั้นมีเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทน “ตรงข้าม” กับตลาด
การแปลความหมายของค่าเบต้า
ข้อมูลค่าเบต้าของวันที่ 08/10/2564 อ้างอิงจาก https://www.set.or.th/
ค่าเบต้า Gulf = 0.99 หาก SET มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1% Gulf จะมีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 0.99% ซึ่งนั่นก็เหมือนนักลงทุนกำลังลงทุนล้อไปกับตลาด เพราะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดมาก ๆ
ส่วนค่าเบต้า SCB = 1.31 ในวันที่ตลาดบวก หรือเป็นขาขึ้น SCB จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตลาด 1.31% แต่ในวันที่ตลาดเป็นขาลง SCB จะให้ผลตอบแทนติดลบที่มากกว่าตลาดเช่นกัน
ค่าเบต้า TTW = 0.24 จะเห็นได้ว่าค่าเบต้าของ TTW นั่นเข้าใกล้ 0 นั่นแสดงว่าหากตลาดเป็นขาลง อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ ลดลงเพียง 0.24% ในทางกลับกัน หากตลาดเป็นขาขึ้น อัตราตอบแทนก็จะน้อยกว่าตลาด แต่ยังคงมีอัตราปันผลสูงถึง 5.13% ต่อปี ซึ่งเป็นหุ้นที่จะช่วยพยุงผลตอบแทนของพอร์ต หรือลดผลกระทบจากตลาด ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงได้
STGT = – 0.33 ถ้าอัตราผลตอบแทนของตลาดเพิ่มขึ้น หรือ ตลาดอยู่ในขาขึ้น อัตราผลตอบแทนของหุ้น STGT จะติดลบ และมีแนวโน้มที่ราคาจะวิ่งสวนทางกับตลาด หรืออาจจะคิดง่าย ๆ โดยหากคาดการณ์ว่าในอนาคต SET จะเป็นขาลง หุ้นกลุ่มนี้ก็เหมาะที่จะเป็นทางเลือกเก็บไว้ในพอร์ตเพื่อทำกำไรในช่วงที่ตลาดขาลงได้
ฉะนั้นก่อนจะเลือกหุ้นเขาพอร์ตควรกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นที่มีค่าเบต้าหลากหลายค่า “ไม่กระจุกตัวอยู่ในค่าเบต้าช่วงใดช่วงหนึ่ง” เพื่อรักษาผลตอบแทน ลดความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในพอร์ตในระยะยาว และสามารถเลือกหุ้นกลุ่มค่าเบต้าต่าง ๆ ไปเพิ่มโอกาสทำกำไรในช่วงสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้
ค่าเบต้าหาได้จากที่ไหน
จากการใช้สูตรคำนวณต่อไปนี้ ซึ่งใช้ Microsoft Excel ช่วยคำนวณได้
แต่ว่าในปัจจุบัน SET มีการคิดคำนวณให้สำเร็จรูป โดยสามารถหาค่าเบต้าของหุ้นไทยได้ที่ https://www.set.or.th/ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. พิมพ์ชื่อหุ้นที่ต้องการ
2. มองหา “สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน”
3. เมื่อกดเข้าไปและเลื่อนลงมาค่าเบต้า (Beta) จะอยู่ด้านขวามือของเพจ
ทั้งนี้ ค่าเบต้ายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสูตร CAPM ซึ่ง CAPM เป็นสูตรทางการเงินที่ใช้เพื่อกำหนดอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ที่ลงทุน โดยความเสี่ยงนี้วัดจากค่าเบต้านั่นเอง
ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้ค่าเบต้า
จะเห็นได้ว่าค่าเบต้าเป็นค่าสถิติที่ “นำข้อมูลจากอดีตมาคิด” และยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเมื่อมีข้อมูลใหม่เพิ่มเข้ามา
ค่าเบต้าจึงเป็นข้อมูลเชิงสถิติ “ใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ” เท่านั้น “ไม่สามารถฟันธงได้ 100% ” ว่าอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ หรือการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตจะเป็นเช่นไร
ฉะนั้น การเลือกลงทุนเเต่ละครั้งต้องอาศัยข้อมูลอื่น ๆ อย่าง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือ อัตราส่วนทางการเงิน เช่น PE Ratio และ P/BV Ratio เป็นต้น และควรศึกษาข้อมูลเหล่านั้นให้เข้าใจ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
ติดตามคำศัพท์อื่น ๆ เกี่ยวกับการเงินได้ที่นี่