ฟองสบู่ หุ้น Tesla

[บทวิเคราะห์] ฟองสบู่ “หุ้น TESLA” ราคาจะไปต่อได้อีกหรือไม่ ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Asset management ที่บริหารกองทุน ETF ซึ่งไม่มีใครไม่รู้จักแล้วในวินาทีนี้อย่าง ARK-Invest ที่ก็ลงทุนหุ้น Tesla ในสัดส่วนที่มากจนติด Top holding ในกองทุน ETF
  • แม้ราคาหุ้น Tesla จะปรับขึ้นมาจนมีกระแสว่าอาจเป็นฟองสบู่ แต่ ARK-Invest มองว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก โดยประเมินจาก 3 ปัจจัยที่สำคัญ ประกอบด้วย Gross Margins, Capital Efficiency และ Autonomous Capability
  • ข้อมูลการขับขี่จริงจากท้องถนนเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ที่มุ่งหน้าสู่การสร้างพาหนะไร้คนขับ ซึ่ง Tesla มีข้อมูลที่สะสมเหนือกว่าคู่แข่งอย่างมากและกำลังเพิ่มขึ้นในทุกวันตามจำนวนรถยนต์ Tesla ที่วิ่งกันบนท้องถนน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

“หุ้น Tesla” เป็นหุ้นที่กองทุนเทคโนโลยีหลายกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนจนติด Top holding ซึ่งแน่นอนว่าความคาดหวังของนักลงทุนทุกประเภทต่อหุ้น Tesla นั้นหนีไม่พ้นการเติบโต แต่ก็มีคำถามมากมายว่า

การเติบโตที่พูดถึงจะเกิดจากอะไร มีแนวทางอย่างไร ตลอดจนราคา ณ ปัจจุบันเรียกว่าฟองสบู่หรือยัง ? 

อ่านต่อเรื่อง 7 สัญญาณเตือน “ฟองสบู่” แตก รู้แล้วต้องระวัง!

“หุ้น Tesla” ยังไปต่อได้อีก

มี Asset management ที่บริหารกองทุน ETF ซึ่งไม่มีใครไม่รู้จักแล้วในวินาทีนี้อย่าง ARK-Invest ที่ก็ลงทุน “หุ้น Tesla” ในสัดส่วนที่มากจนติด Top Holding ในกองทุน ETF เช่น ARKW ARKK ได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์พร้อมแนวทางการเติบโตของหุ้น Tesla ซึ่งนับว่ามีความน่าสนใจ และที่สำคัญที่สุดคือเมื่ออ่านจบแล้วจะเข้าใจเลยว่า Tesla กำลังทำอะไรที่ไม่ใช่แค่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV)

ARK-Invest กำหนด 3 ปัจจัยที่สำคัญเป็น Key Inputs ในการประเมินราคา

ประกอบไปด้วย

  1. Gross Margins – ต้นทุนการผลิตยานยนต์ลดลงต่อเนื่องตาม Wright’s Law 
  2. Capital Efficiency – ต้นทุนต่อหน่วยสำหรับการผลิตยานยนต์ใหม่
  3. Autonomous Capability – Tesla จะสามารถเปิดให้บริการ Autonomous Taxi สำเร็จหรือไม่

กรอบราคาและความเป็นไปได้ของ “หุ้น Tesla”

การประเมินมูลค่า (Valuation) โดย ARK อยู่บนสมมติฐาน 10 เหตุการณ์ โดย ARK ประเมินความเป็นไปได้ของแต่ละเหตุการณ์ และก็ได้ประเมินกรอบราคาและความเป็นไปได้ออกเป็น 3 กรณี คือ Bull Case, Expect Value และ Bear Case ตามรูปด้านล่างนี้

ARK ประเมินมูลค่าหุ้น Tesla

สำหรับเหตุผลทั้งหมดที่ใช้ประเมินใน 3 Key Inputs มีดังนี้

1) Gross Margins and Wright’s Law – ต้นทุนการผลิตยานยนต์ลดลงต่อเนื่อง

ARK เชื่อว่า Gross margins เป็นปัจจัยสำคัญของการดำเนินธุรกิจและมูลค่าของ Tesla เมื่อประเมินด้วย Wright’s Law และตีความออกมาด้วยโมเดลของ ARK พบว่า Gross margins สามารถเพิ่มขึ้นจาก 20.9% เมื่อไตรมาส 4 ปี 2019 ไปที่ 40% ในปี 2024

ARK ประเมิน Gross Margin หุ้น Tesla ต้นทุนของรถ Tesla Model 3 ที่ลดลงตาม Wright’s Law

โดย Wright’s Law เป็ยกฎที่ใช้ทำนายการลดลงของต้นทุนเทียบกับปริมาณการผลิตสะสม โดยเฉพาะเมื่อการผลิตสะสมเพิ่มขึ้นเท่าตัว ต้นทุนจะลดลงด้วยอัตราคงที่

Wright’s Law ใช้ทำนายต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์มาแล้วกว่าศตวรรษ ARK ยกตัวอย่าง Ford ที่เป็นไปตามคาดการณ์ด้วย Wright’s Law ตั้งแต่ปี 1903 ในขณะที่ต้นทุนของ Ford ดูเหมือนจะลดลงมากกว่านี้ยากแล้ว แต่ Tesla ยังสามารถลดลงได้อีกตลอด 4 ปีข้างหน้า เพราะการเพิ่มการผลิตสะสมใช้เวลาน้อยกว่ามาก โดยปัจจุบันมียานยนต์ EV ถูกผลิตขึ้นมาทั่วโลกเพียง 5.4 ล้านคัน ส่วนเครื่องยนต์สันดาบแบบที่ใช้กันในปัจจุบันถูกผลิตมาแล้วถึง 2,600 ล้านคัน

เมื่อใช้ Wright’s Law วิเคราะห์ราคาขายเฉลี่ย โมเดลของ ARK ปรับลดราคาขายเฉลี่ยลงเมื่อปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพื่อเข้าถึงความต้องในระดับที่มากขึ้น ผลการประเมินถูกแบ่งออกเป็น 2 สถานการณ์

  • High-End Gross Margin

ต้นทุนลดลงตาม Wright’s Law โมเดลของ ARK ประเมินว่า Gross Margin สามารถแตะระดับ 40% ในอีก 4 ปีข้างหน้า

  • Low-End Gross Margin

การประเมินต้นทุนไม่เป็นไปตาม Wright’s Law ทำให้ประเมินว่า Gross Margin จะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะแตะระดับ 25% ในปี 2024 (BMW have gross margins of roughly 19%)

2) Capital Efficiency – ต้นทุนต่อหน่วยสำหรับการผลิตยานยนต์ใหม่

หากการเพิ่มกำลังการผลิตใช้เงินทุนที่สูงมาก การลดต้นทุนในข้อก่อนหน้าที่กล่าวมาจะไม่มีประโยชน์เลย แต่หากมีประสิทธิภาพแล้วก็จะเพิ่มกำลังการผลิตได้รวดเร็ว ต้นทุนลดลงอีก และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่

เมื่อปี 2016 อุตสาหกรรมยานยนต์ลงทุนในสินทรัพย์คงทน (โรงงาน) 14,000 ดอลลาร์ สำหรับยานยนต์แบบสันดาบภายในทุกคันที่ผลิตในแต่ละปี ส่วนยานยนต์ EV มีชิ้นส่วนที่น้อยกว่าทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากกว่า จึงเงินลงทุนในสินทรัพย์คงทนน้อยกว่าถึง 50% ดังนั้นเงินลงทุนจึงใช้เพียง 7,000 ดอลลาร์ สำหรับยานยนต์ EV ทุกคันที่ผลิตในแต่ละปี

  • High-End Capital Efficiency

ARK สมมติว่า Tesla สามารถสร้างโรงงานที่ใช้เงินลงทุน 11,000 ดอลลาร์ โดย Tesla เองเปิดเผยว่าลงทุน 1,600 ล้านดอลลาร์ กับโรงงานที่เซียงไฮ้ที่จะเริ่มผลิต 150,000 คัน สมมติต่อไปอีกว่าหากผลิตเพียงเท่านี้ก็จะทำให้ใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์คงทนที่ 10,700 ดอลลาร์ต่อคัน แต่การผลิตไม่ได้มีเพียงแค่ 150,000 คัน ดังนั้นเงินลงทุนสินทรัพย์คงทนต่อคันก็จะลดลงไปอีก

  • Low-End Capital Efficiency

หากไม่สามารถใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เงินลงทุนอยู่ที่ 16,000 ดอลลาร์ มากกว่าที่เงินลงทุนที่อุตสาหกรรมยานยนต์แบบสันดาบใช้ในปัจจุบัน

3) Autonomous Execution – การเปิดให้บริการ Autonomous Taxi

Autonomous Taxi Network (เครือข่ายยานพาหนะไร้คนขับ) อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Tesla เปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจของผู้ผลิตยานยนต์ในปัจจุบันไปจากได้กำไรเพียงครั้งเดียว (One-time) ด้วยการขายยานยนต์เป็นกำไรที่เกิดขึ้นประจำจากค่าบริการระบบ

ค่าบริการ Tesla เปรียบเทียบค่าบริการและกำไรของระบบเรียกพาหนะในเครือข่ายผู้ให้บริการในปัจจุบัน (ซ้าย)
กับ คาดการณ์ค่าบริการและกำไรของระบบเรียกพาหนะไร้คนขับของ Tesla ในอนาคต (ขวา)

  • High-End Autonomous Execution

Tesla อาจตั้งค่าบริการเรียกพาหนะในระบบของ Tesla ไว้ที่ 2.50 ดอลลาร์ต่อไมล์ เช่นเดียวกับที่ Uber และ Lyft เรียกเก็บในปัจจุบัน (ประมาณ 1.85 ดอลลาร์ต่อไมล์) จากนั้นปี 2023 ค่อยลดลงเหลือ 1 ดอลลาร์ต่อไมล์ แต่ ARK คาดว่า Tesla จะลดกำไรขั้นต้นในส่วนรายได้ที่มาจาก Autonomous taxi network ลง 50%

ซึ่งมากว่ากำไรขั้นต้นของ Uber และ Lyft ที่ลดลงประมาณ 20-30% ในปัจจุบัน โดยกำไรขั้นต้นที่ลดลงเกิดจากการเพิ่มความสะดวกสบาย เพิ่มความปลอดภัย โดย ARK ตั้งสมมติฐานว่า Autonomous taxi network จะเริ่มใช้จริงปี 2021 ด้วยรถยนต์ Tesla ที่รับสิทธิ์เข้าร่วมระบบนี้เพียง 2% ในปีแรก โดย ARK ตั้งสมมติฐานเพิ่มว่า Tesla จะนำเงินสดส่วนเพิ่มที่ได้จากระบบนี้ไปลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตยานยนต์ EV

  • Low-End Autonomous Execution

หากไม่สามารถใช้งานระบบนี้ แน่นอนว่าจะไม่มีรายได้จากส่วนนี้เกิดขึ้น อีกความได้เปรียบที่ Tesla มีเหนือคู่แข่งและช่วยให้ Autonomous Taxi Network มีโอกาสเกิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้น คือข้อมูลการขับขี่จริงจากท้องถนน ซึ่ง Tesla จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา Autonomous system โดยรถยนต์ทุกรุ่นของ Tesla ถูกติดตั้งอุปกรณ์ขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) ทำให้ข้อมูลที่ Tesla เก็บได้ในหนึ่งวันมากกว่าที่ Waymo (คู่แข่งที่มีบริษัทแม่ของ Google ให้เงินทุนสนับสนุน) เก็บได้ในหนึ่งปี

ปริมาณและช่องทางข้อมูลการขับขี่จริงของ Tesla คาดการณ์ปริมาณและช่องทางข้อมูลการขับขี่จริงที่ Tesla เก็บได้ในปี 2025

ARK คาดว่าปลายปี 2020 Tesla สามารถเก็บข้อมูลได้ 40 ล้านไมล์ต่อวัน และประมาณการว่าระบบบริการยานพาหนะ (ride-hail) จะช่วยเก็บข้อมูลการขับขี่ได้มากขึ้นอีก 70% ในปี 2025

ดังนั้นยิ่ง Tesla ขายรถมากขึ้น ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น ต้นทุนยิ่งลดลง แผนธุรกิจที่วางไว้ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น สุดท้ายก็อยู่ที่นักลงทุนจะเชื่อว่า Tesla ของ Elon Musk มีความสามารถทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้หรือไม่

Source: 

https://ark-invest.com/articles/analyst-research/ride-hailing/
https://ark-invest.com/articles/analyst-research/tesla-ride-hail-update/
https://ark-invest.com/articles/analyst-research/tesla-price-target/
https://ark-invest.com/articles/analyst-research/wrights-law-predicts-teslas-gross-margin/
https://ark-invest.com/wrights-law/

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile