ท่ามกลางความซบเซาของเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ แต่ตลาด eCommerce ประเทศไทยกลับเติบโตสวนทาง จนล่าสุด Temu แอป eCommerce น้องใหม่จากจีนก็บอกว่า กำไรที่ลื้อมี อั๊วขอนะ แล้วกระโจนเข้ามาร่วมวงบุกตลาดไทย ส่งโปรโมชั่นชนิดที่ต้องมีใครคันไม้คนมือเข้าไปช๊อปปิงกันบ้าง วันนี้พี่ทุยไม่ได้จะชวนไปช๊อปปิง แต่จะพาไปรู้จักพร้อมเจาะทุกซอกทุกมุมกับ Temu อีคอมเมิร์ซจีน กันหน่อย
Temu อีคอมเมิร์ซจีน ใครเป็นเจ้าของ
Temu (ทีมู่) แพลตฟอร์ม eCommerce เน้นขายสินค้าทุกชนิดทั้งเสื้อผ้า ของใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และอีกมากมายนับไม่ถ้วน ด้วยราคาต่ำมาก อยู่ในเครือ PDD Holdings Inc. บริษัทสัญชาติจีนเจ้าของอีกแพลตฟอร์มชื่อดังในจีนอย่าง Pinduoduo คู่แข่งหลักของ Alibaba และ JD.com
แอป Temu ก่อตั้งในสหรัฐฯ และเปิดตัวเมื่อเดือน ก.ย. 2022 โดย PDD Holdings Inc. มีแผนใช้ Pinduoduo เจาะตลาดในประเทศจีน และใช้ Temu ตีตลาดทั่วโลก เปิดให้บริการไปแล้ว 50 ประเทศ มีสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก โดย 5 อันดับยอดดาวน์โหลดแอปในเดือน พ.ค. 2023 มาจากสหรัฐฯ 53%, เม็กซิโก 12.9%, สหราชอาณาจักร 7.4%, ฝรั่งเศส 6.4% และเยอรมนี 6.0%
ด้วยฝีมือกลยุทธ์การตลาดและตั้งราคาที่ปั้น Pinduoduo ให้กลายเป็น eCommerce ที่โตไวสุดในประวัติศาสตร์จีน ขอบอกเลยว่าใครจะแข่งกับ Temu ก็คงลำบากไม่น้อย เห็นชัดจากข้อมูลของ YipitData ซึ่งเผยว่า Temu มียอดขายสินค้ารวมในแพลตฟอร์ม (GMV) ปี 2023 อยู่ที่ 15,156 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่ในปี 2022 ยังอยู่แค่เพียง 290 ล้านดอลลาร์
เทียบในระดับโลกแล้วก็ยังห่าง 5 บริษัทที่มี GMV สูงสุด โดยอันดับ 1 เป็น Amazon มียอดถึง 728,800 ล้านดอลลาร์ ที่เหลือเป็นสัญชาติจีนไม่ว่าจะเป็น Pinduoduo ที่ 570,300 ล้านดอลลาร์, Taobao 506,600 ล้านดอลลาร์, Tmall 501,600 ล้านดอลลาร์ และ JD.com 501,300 ล้านดอลลาร์
…แต่มองอีกมุม ก็เท่ากับมีโอกาสให้ Temu เข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดได้อีกเยอะเหมือนกันนะ
ทำไม Temu ถึงโดดเด่นในวงการ อีคอมเมิร์ซจีน
ข้อมูลจาก CHOICE เวปไซต์รีวิวสินค้าจากออสเตรเลียเผยว่าประเด็นแรกมาจากกลยุทธ์การตลาดที่รุนแรง โดยสำรวจผู้ใช้ Temu จำนวน 500 คน ว่ารู้จักแพลตฟอร์มนี้ครั้งแรกได้อย่างไร พบว่า 37% รู้จักผ่านโฆษณาช่องทางใดช่องทางหนึ่ง และ 27% รู้จักผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลยุทธ์ได้ผลอย่างมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็ดัน Temu ขึ้นเป็นแอปยอดนิยมใน Google Play และ Apple free app ของออสเตรเลีย
แถมยังใช้กลยุทธ์สร้างความบันเทิงคล้าย Pinduoduo นั่นคือ Gamifying เน้นใส่ความสนุกลงไปในขั้นตอนแจกโปรโมชัน เช่น แอปในสมาร์ทโฟนมีล้อหมุนและซองปริศนาขึ้นมาเป็นระยะให้ผู้ใช้ลุ้นรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืน แต่มีเงื่อนไขใช้ส่วนลดได้เมื่อใช้จ่ายถึงยอดขั้นต่ำ หรือโปรโมท Temu ผ่านโซเชียลมีเดีย
อีกกลยุทธ์ที่แทบเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ยังใช้ได้ผล ก็คือ Temu มีของครบทุกอย่างที่คนคนหนึ่งอยากจะซื้อ แถมขายราคาถูกมากเหมือนขายราคาส่ง ตัดคู่แข่งไปได้เพียบ และยังไม่มีค่าจัดส่ง คืนสืนค้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายภายใน 90 วัน หรือรับเงินคืนส่วนหนึ่ง โดยไม่ต้องส่งสินค้ากลับ
สุดท้าย Temu จัดงบโฆษณาระดับป๋ากว่า 21 ล้านดอลลาร์ ซื้อเวลาโฆษณาในศึก NFL Super Bowl ครั้งที่ 58 เมื่อเดือน ก.พ. 2024 ด้วยแคมเปญ “I’m shopping like a billionaire”
Temu ขายของถูก ไม่เน้นกำไร ได้ยังไง?
ใช้โมเดล Group Buying เหมือนกับ Pinduoduo เป็นไอเดียที่ให้ผู้ซื้อรวมกันส่งคำสั่งซื้อไปที่ผู้ขายหรือโรงงานโดยตรง (ไอเดียนี้ได้รับความนิยมมากในจีนตั้งแต่ก่อน COVID-19) ทำให้สามารถลดต้นทุนสินค้า ด้วยการตัดพ่อค้าคนกลาง และลดต้นทุนโกดังเก็บสินค้า
Temu เป็นแพลตฟอร์มสัญชาติจีน ส่วนแหล่งผลิตสินค้าของโลกก็มาจากจีน นอกจากได้เปรียบเรื่องต้นทุนการขนส่งแล้ว ทาง Temu เองก็ซื้อของจากโรงงานโดยตรงจำนวนมาก แล้วค่อยเอามาขายบนแพลตฟอร์ม ยิ่งทำให้ Temu ได้เปรียบเรื่องต้นทุนสินค้ามากขึ้นไปอีก
และยังยอมเก็บค่าธรรมเนียมการขายสินค้าต่ำมาก ซึ่งทั้งช่วยให้สามารถตั้งราคาสินค้าต่ำได้และดึงดูดผู้ขายเข้าสู่แพลตฟอร์มด้วย จะได้มีสินค้าหลากหลายครบทุกประเภท ผู้ซื้อก็จะย้ายตามมา
ส่องตลาด eCommerce ไทย ประเทศที่ 3 ในอาเซียนที่ Temu เลือกบุก
อ้างอิงข้อมูลจาก Priceza ระบุว่าปี 2023 มูลค่าตลาด eCommerce อาเซียน อยู่ที่ 172,000 ล้านดอลลาร์
นำโดย 1.) อินโดนิเซียที่มีมูลค่า 78,000 ล้านดอลลาร์ 2.) ไทยที่ 28,000 ล้านดอลลาร์ 3.) เวียดนามและฟิลิปปินส์ ประเทศละ 20,000 ล้านดอลลาร์ 4.) มาเลเซีย 16,000 ล้านดอลลาร์ และ 5.) สิงคโปร์ 10,000 ล้านดอลลาร์
ถ้าแบ่งตามช่องทางจะมีสัดส่วน ดังนี้
- Marketplace 55% แบ่งเป็น Shopee 29%, Lazada 11%, Tokopedia 9% และอื่นๆ (Konvy, Pomelo, NocNoc) 6%
- Social Commerce 28% แบ่งเป็น Facebook, Indtagram, YouTube, Line, X, Messenger 19% และ TikTok 9%
- Grocery เช่น LINEMAN, Grab, Gojek, BigC, 7-Eleven, Foodpanda 11%
- e-Tailers and Brand.com เช่น Advice, Banana,JIB, Shopify 6%
ในส่วนประเทศไทยนอกจากมีตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 แล้ว ตลาด eCommerce ยังมีอัตราการเติบโตถึง 34.1% สูงเป็นอันดับ 2 เช่นกัน โดยมี 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ 1.) Shopee 49% 2.) Lazada 30% 3.) TikTok Shop 21%
Temu เลือกบุกประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในอาเซียน ต่อจากฟิลิปปินส์และมาเลเซีย โดยลูกค้าในไทยสามารถโหลดแอป Temu ได้แล้ว ทั้ง Google Play Store และ Apple Store (มาแรงติดท๊อป 3) โดย Temu พกโปรโมชั่นมาแจกในช่วงเปิดตัวด้วยส่วนลดกว่า 90% พร้อมส่งฟรีทุกคำสั่งซื้อ
ฟังรีวิว Temu จากประเทศอื่น ผู้บริโภคพึงใจมั้ย
สำนักงานข่าว CBC ของแคนาดาสัมภาษณ์นักศึกษาที่ใช้แอป Temu เผยว่าสั่งซื้อคีย์บอร์ดด้วยราคาต่ำกว่าตลาดเกือบ 50% แต่ใช้ได้เพียงแค่ไม่กี่วันก็เสีย ซึ่งจุดนี้ต้องทำใจไว้เผื่อเลยถ้าจะซื้อของด้วยราคาต่ำขนาดนี้
ส่วนแคมเปญแจกโปรโมชั่นส่วนลดจาก Gamifying นักข่าวของ CBC ลองเล่นเองกลับพบว่าได้ส่วนลดเหมือนกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะกดหรือเล่นยังไงก็ตาม
เมื่อกลยุทธ์แจกส่วนลดที่ใส่มาในทุกขั้นตอนระหว่างช้อปปิงจนผู้ใช้บางรายบอกว่าแอปมี UX/UI ที่กระตุ้นการใช้จ่ายหนักมาก รวมเข้ากับกลยุทธ์ Gamifying ช๊อปปปิ้งเพลิน ๆ ได้ส่วนลดเพิ่ม กลายเป็นว่าผู้ใช้ถูกกระตุ้นให้ใช้จ่ายเงินง่ายและไวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Temu ถึงบอกว่าใช้ช๊อปปิ้งผ่านแอปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเศรษฐีพันล้าน
สุดท้ายในระยะสั้นผู้ใช้แต่ละประเทศที่ Temu ไปบุกน่าจะได้ประโยชน์กันไป แต่ระยะต่อมานี่สิน่าคิด เพราะกลยุทธ์ตัดราคาเอาถึงตายแบบนี้ ผู้ประกอบการในประเทศรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าจะไม่รอดกันหมด ส่งผลเสียไปถึงเงินในกระเป๋าประชาชนและเศรษฐกิจในประเทศ
มาตรการที่อาจจะพอรับมือกับทุนจีนที่ทะลักเข้ามา ก็คือรัฐบาลเองก็ต้องส่งเสริม SMEs ในประเทศให้แข็งแกร่ง สนับสนุนให้เอกชนมีกำลังปรับตัวผลิตสินค้าให้มีคุณภาพเพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนได้ เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ พร้อม ๆ ไปกับมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ อย่างเช่นการก็บภาษีกับสินค้านำเข้า
อ่านเพิ่ม