หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความสนใจในช่วงนี้ คงจะหนีไม่พ้นธุรกิจ Logistic และ Kerry เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การติดต่อสื่อสารแบบตัวต่อตัวน้อยลง การพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ทั้งกลุ่ม e-Commerce และ Logistic ต่างได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคน ทำให้ “Kerry เตรียม IPO” เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขยายศักยภาพของธุรกิจ
จุดเริ่มต้นของ Kerry ในไทย
Kerry เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 2549 จากกลุ่ม Kerry Logistic Network Limited (KLN) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศฮ่องกง โดยมีการขยายสาขาออกไปหลาย ๆ ประเทศโซนเอเชีย ได้แก่ ไทย เวียดนาม สิงคโปร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง
และด้วยกระแส e-Commerce ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้ Kerry ก็โต 2-3 เท่าต่อปี อย่างต่อเนื่องเช่นกัน มียอดจัดส่งสินค้าเฉลี่ย 1.1-1.2 ล้านชิ้นต่อวัน และเคยทำลายสถิติมียอดส่งสูงถึง 2 ล้านชิ้นอีกด้วย
ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นรองแค่ไปรษณีย์ไทย มีจุดให้บริการมากกว่า 15,000 แห่ง มีศูนย์คัดแยกพัสดุขนาดใหญ่ 9 แห่ง และ ศูนย์ย่อยอีกกว่า 1,200 แห่ง และมีรถจัดส่งในระบบกว่า 25,000 คัน
แค่ดูรายได้ย้อนหลังทุกคนก็รู้สึกว่าบริษัทนี้เนื้อหอมมาก ในแต่ละปีมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2557 ไป 2558 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง +182.25% หรือเกือบ ๆ 3 เท่าของปีก่อน แล้วก็รักษาระดับการเติบโตถึง 2 เท่าในทุก ๆ ปีมาจนปี 2562 ที่เริ่มมีการชะลอตัวเหลือ +45.82% เฉลี่ยแล้ว Kerry มีการเติบโตเฉลี่ย 134.9% ต่อปี
ปัจจุบัน Kerry แม้อยู่ในธุรกิจที่น่าสนใจมีโอกาสในการเติบโตสูง แต่ตอนนี้ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเป็นคู่แข่งโดยตรงแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น Flash Express, Best Express และ J&T Express และยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SCG ก็เริ่มบุกตลาดในกลุ่มธุรกิจนี้เองอีกด้วย
คู่ค้าที่ดีคือหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของ Kerry
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดของ Kerry คือ การมีคู่ค้า (Partner) ที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านมา Kerry ได้ร่วมมือกับบริษัทในเครือ Central อย่าง OfficeMate Family Mart และ TOPS Supermarket ในการเพิ่มจุดรับ-ส่งสินค้า ทำให้ Kerry สามารถขยายพื้นที่บริการได้รวดเร็วและก้าวกระโดด
และอีกหนึ่งช่องทางที่ตอบโจทย์คนเมืองคนทำงานเลยก็คือ BTS โดยการร่วมมือของ Kerry และ BTS ทำให้เกิด BTS Express Service มีจุดบริการด้วยกันถึง 4 สถานี ได้แก่ สยาม พร้อมพงษ์ ทองหล่อ และ ศาลาแดง
นอกจากการขยายพื้นที่บริการแล้ว ก็ยังร่วมมือกับอีก Partner ในกลุ่ม e-Commerce ที่แข็งแกร่งอย่าง Shopee ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้ประโยชน์และพึ่งพิงซึ่งกันและกัน ด้วยยอดการเติบโตที่สูงมากของ Shopee เองก็ยิ่งส่งผลให้ยอดการจัดส่งสินค้าเติบโตตามขึ้นไป
ในด้านของทางการเงินเองก็ได้จับมือกับทางธนาคารกรุงเทพ ช่วยพัฒนาระบบการชำระเงิน ให้บริการสินเชื่อ SMEs Small Loan แก่ลูกค้าผู้ส่งสินค้าผ่าน Kerry ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันลูกค้าให้แก่ทั้งสองธุรกิจ และผลักดันผู้ใช้งาน Bualuang mBanking อีกด้วย
“Kerry เตรียม IPO” จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 17.2%
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 Kerry ได้ทำการยื่นไฟลิ่งฉบับแรกต่อ ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป หรือ IPO โดยจะมีจำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 17.2% โดยมี บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง และ ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยการระดมทุนครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อขยายศักยภาพของธุรกิจทั้งด้านเทคโนโลยี ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ให้สามารถตอบรับกับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce ที่โตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดการณ์การเติบโตในช่วงปี 2562-2567 ในอัตราการเติบโตที่ 17.3% ต่อปี
ถ้าอยากรีบลงทุนก่อน IPO ต้องทำอย่างไร ?
สำหรับคนที่สนใจอยากลงทุนก่อน IPO สามารถเข้าซื้อหุ้น KEX ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยวันแรกวันท่ี 24 ธ.ค.63 หรือลงทุนในบริษัทที่ถือหุ้นบริษัท Kerry Express Thailand อย่าง VGI ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน Kerry Express ในไทยสูงถึง 23% หรือ BTS ที่เป็นเจ้าของ VGI อีกทีโดยมีสัดส่วนในหุ้น VGI อยู่ที่ 21.22%
การลงทุนใน VGI หรือแม้กระทั่ง BTS เองก็ควรจะดูพื้นฐานของหุ้นนั้น ๆ เองด้วย เพราะถึงแม้ Kerry Express จะสร้างรายได้และมีศักยภาพในการเติบโต แต่ธุรกิจหลักหรือรายได้หลักนั้นก็มาจากหุ้นที่เราลงทุนไปเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากไม่มั่นใจในธุรกิจดังกล่าว ก็อาจจะต้องรอดูทิศทางหุ้น KEX ต่อไป
ถ้าใครอยากจะรู้ว่า หุ้น IPO ตัวนี้ถูกหรือแพง เข้ามาอ่านเนื้อหากันได้เลย ที่นี่
Comment