ค่อนข้างชัดเจนว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) เดือน ก.ย. นี้ Fed น่าจะลดดอกเบี้ย โดยคำถามต่อมาคือแล้วสินทรัพย์ต่าง ๆ จะเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย ในปีนี้ แล้วจะปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรดี วันนี้ทุยสรุปให้ฟังกัน
สาเหตุที่เชื่อว่า Fed น่าจะลดดอกเบี้ยใน ก.ย. เนื่องจาก Jerome Powell ประธาน Fed ออกมากล่าวเองในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล (The Jackson Hole Economic Symposium) ว่า ถึงเวลาที่จะต้องปรับปรุงนโยบายแล้ว
เป็นการตอกย้ำเพิ่มเติมจากรายงานการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 30-31 ก.ค. 2024 ที่ระบุว่า สมาชิก FOMC ส่วนใหญ่เห็นว่า หากข้อมูลยังออกมาใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจจะเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่จะผ่อนปรนนโยบายในการประชุมครั้งถัดไป
เปิดสถิติในอดีต หลัง Fed ลดดอกเบี้ย
พี่ทุยขอชวนมาดูสถิติกันก่อนว่า ในอดีต ช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ยเป็นอย่างไร
ข้อมูลจาก Charles Schwab ระบุว่า หากพิจารณา ในช่วงที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ย ทั้งหมด 14 รอบ นับตั้งแต่ปี 1929 เป็นต้นมา พบว่า 12 รอบ ของช่วงเวลาดังกล่าว หรือ 86% ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ในช่วง 12 เดือนนับจากการเริ่มปรับลดดอกเบี้ย
มีเพียง 2 รอบของการปรับลดดอกเบี้ย คือ ช่วงเริ่มต้นลดดอกเบี้ยปี 2001 และปี 2007 ที่ผลตอบแทนของ S&P500 เป็นลบ แต่ก็เป็นเพราะใน 2 รอบนั้น มีปัจจัยเรื่องสภาพเศรษฐกิจด้วย โดยในปี 2001 มีประเด็นการล่มสลายของบริษัทดอทคอม ส่วนปี 2007 มีวิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ
ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 ในช่วง 12 เดือน หลังจาก Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในแต่ละรอบ
ขณะที่ Hartfordfunds ชี้ว่า ในอดีตรอบที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ย หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ ในกรณีที่รอบการลดดอกเบี้ยนั้นไม่ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนตราสารหนี้ก็ยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินสด ฉะนั้น ถ้ากล่าวโดยรวมแล้ว การที่ Fed ลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ก็ทำให้ผู้ที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้ประโยชน์
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และเงินสดในสหรัฐฯ ในช่วง 12 เดือนหลัง Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องทราบคือ การลดดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 นี้ มีเหตุผลแตกต่างไปจากการลดดอกเบี้ยในอดีต โดย Fed ไม่ได้ลดดอกเบี้ยเพราะว่าเศรษฐกิจอ่อนแอ แต่ลดเพราะว่า เงินเฟ้อใกล้จะเข้าสู่เป้าหมายแล้ว ทำให้การดำเนินนโยบายไม่จำเป็นต้องเข้มงวด ขณะที่ Fed มองว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มแค่ชะลอตัวลง ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ ก็จะทำให้ปี 2024 เป็นปีที่ดี ทั้งการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ จากข้อมูลของ Allianz Global Investors ระบุว่า ในช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ย สินค้าโภคภัณฑ์มักจะปรับตัวลดลง โดยจากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 1981-2019 พบว่า สินค้าโภคภัณฑ์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -8.7% โดยทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -2.8%
ทั้งนี้ หากแยกตามเหตุผลการลดดอกเบี้ยออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ลดก่อนเกิดเศรษฐกิจถดถอย และลดเพื่อประกันภัยความเสี่ยง พบว่า ถ้าเป็นช่วงที่ลดดอกเบี้ยก่อนจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยตามมา สินค้าโภคภัณฑ์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -15.2% ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -2.0%
แต่ถ้าเป็นช่วงที่ลดดอกเบี้ยเพื่อประกันภัยความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ หรือมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินระหว่างประเทศ หรือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอย สินค้าโภคภัณฑ์จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -0.6% ส่วนทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -3.6%
ในส่วนของค่าเงินดอลลาร์นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ หลัง Fed ลดดอกเบี้ย แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับธนาคารกลางอื่นด้วยว่ามีนโยบายการเงินอย่างไร
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ย นักลงทุนควรจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ เพราะจากสถิติในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ จะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วง 60-90 วัน ก่อนการลดดอกเบี้ยครั้งแรกเกิดขึ้น ใน 5 รอบสุดท้ายของการลดดอกเบี้ย
จากข้อมูลในอดีตทั้งหมดที่พี่ทุยหยิบยกมานี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ในช่วงที่ Fed กำลังจะลดดอกเบี้ยนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในช่วง 1 ปีหลังจากนี้
ในกรณีที่สมมติฐานทุกอย่างเป็นไปตามที่ Fed คาดการณ์ คือ เงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย โดยไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ถ้าอยู่ดี ๆ เกิดเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมา หรือเงินเฟ้อปรับขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ Fed ต้องกลับลำมาขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นไปได้ไม่สวย
ด้วยเหตุนี้เอง พี่ทุยมองว่า การจัดพอร์ตลงทุนให้มีความยืดหยุ่น มีสินทรัพย์ที่หลากหลาย พร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ จึงเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ที่สุดในช่วงที่ Fed กำลังจะลดดอกเบี้ยแบบนี้
ก่อน Fed ลดดอกเบี้ย ลงทุนยังไงดี
พี่ทุยแนะนำว่า ถ้าเป็นคนที่ลงทุนในอยู่แล้ว ก่อนอื่นให้กลับไปพิจารณาพอร์ตลงทุนของตัวเองว่า ปัจจุบันมีสินทรัพย์แต่ละประเภทในสัดส่วนเท่าไหร่ หากสัดส่วนที่มีอยู่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้อยู่แล้ว มีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว และพิจารณาแล้วเห็นว่า สินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีอนาคต มีโอกาสทำให้ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังได้ในอนาคต ก็อาจไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
แต่ถ้ากลับไปส่องพอร์ตลงทุนแล้ว รู้สึกว่าสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีอยู่ ดูจะไม่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ ก็ให้ปรับสัดส่วน โดยถ้ารู้สึกว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้น้อยลง ก็ให้ลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น การลงทุนในหุ้นลงมา แล้วเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำกว่า เช่น ตราสารหนี้ เข้าไป แล้วลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง และถ้ามองดูแล้วในพอร์ตไม่มีสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ ซึ่งเป็นเหมือนสินทรัพย์ปลอดภัยที่ป้องกันความเสี่ยงกรณีเกิดสงคราม หรือมีวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ควรจะลงทุนติดพอร์ตเอาไว้บ้าง
ส่วนคนที่ลงทุนอยู่แหละ แต่เน้นในประเทศเป็นหลัก แล้วอยากจะลองไปลงทุนในต่างประเทศ ประเดิมที่สหรัฐฯ พี่ทุยแนะนำว่า ให้กระจายลงทุนเช่นกัน ดังนี้
ลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ
เพื่อรับอัตราผลตอบแทน (yield) ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดย J.P.Morgan Wealth Management ระบุว่า จากข้อมูลในอดีต หากซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ 1 เดือนก่อนที่ Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งแรก จะได้ผลตอบแทนมากกว่า เมื่อเทียบกับการรอเข้าไปซื้อในช่วง 1 เดือนหลังจากที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้ว เกือบ ๆ 3%
นอกเหนือจากได้ yield ที่ดีกว่าแล้ว อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ราคาตราสารหนี้มักจะปรับขึ้น เมื่อดอกเบี้ยปรับลดลง โดยเฉพาะถ้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวก็จะได้ทั้ง yield และราคาที่ปรับขึ้น แต่ถ้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมาก ๆ ที่ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว ก็จะได้รับผลตอบแทนปัจจุบัน (current yield) ซึ่งเป็นผลตอบแทนต่อปี เมื่อเทียบกับราคาหรือต้นทุนที่ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นนั้นมา
ทั้งนี้ การมีตราสารหนี้เอาไว้ในพอร์ตลงทุน แม้ว่าจะมีโอกาสรับผลตอบแทนไม่สูงเท่าหุ้น แต่ก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี สามารถมีส่วนสำคัญในการรักษาเงินลงทุนเริ่มต้นเอาไว้ได้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างที่พี่ทุยบอกไปแล้วว่า พอดอกเบี้ยลด ก็มักจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีถ้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วง 12 เดือนต่อจากนั้น โดยอาจจะไปเน้นเลือกกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ หลังจาก Fed ลดดอกเบี้ย
ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มนี้อาจจะเคยทำผลงานได้แย่กว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะว่ามีความอ่อนไหวกับดอกเบี้ยสูง แต่พอดอกเบี้ยลดแล้ว ก็จะมีโอกาสทำผลงานได้ดีขึ้น เช่น สถาบันการเงินที่ให้บริการรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตสูง ซึ่งจะมีต้นทุนถูกลงในการลงทุนขยายธุรกิจ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่คนใช้จ่ายมากขึ้นหลังจากดอกเบี้ยลดลง รวมถึงกลุ่มที่มีการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งจะมีต้นทุนถูกลง นอกจากนี้กลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่สูงมาก ก็อาจจะเน้นไปที่ตราสารหนี้สหรัฐฯ มากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นว่า สหรัฐฯ แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจจะแบ่งเงินไว้ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สัดส่วนที่มากหน่อย แต่ก็ต้องมีตราสารหนี้สหรัฐฯ ติดเอาไว้ด้วย และที่สำคัญ อย่าลืมมีสินค้าโภคภัณฑ์ในพอร์ตลงทุนไว้ ให้พออุ่นใจ สัดส่วนไม่เกิน 5-10%
เพียงเท่านี้ พี่ทุยก็คิดว่า รับมือ Fed ลดดอกเบี้ยกันได้สบาย ๆ แล้ว
อ่านเพิ่ม