พี่ทุยเชื่อว่านักลงทุนหลายคนอาจจะงง ๆ ไม่หายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2020 ที่ผ่านมา และยังไม่แน่ใจว่าจะปรับแนวทางการลงทุนของตัวเองในปีนี้ยังไงดี วันนี้พี่ทุยเลยจะชวนมามองย้อนกลับไปถึงเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจในปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ “ESG” ที่อาจจะช่วยเป็นแนวทางการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ได้
เป็นแนวทางการลงทุนในหุ้นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม ความโปร่งใสและธรรมภิบาล ซึ่งเป็นแนวการลงทุนที่กำลังเติบโตในวันที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้อย่างมาก รวมไปถึงการที่ผู้บริโภคและรัฐบาลส่วนใหญ่ เริ่มหันมาเข้มงวดกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เชื่อว่าหากบริษัทเข้ามาจัดการประเด็นเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัทและเพิ่มความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ หรือความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในอนาคต ซึ่งช่วยเพิ่มผลกำไรให้แก่บริษัทและเพิ่มผลตอบแทนของนักลงทุน
“ESG” สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด ?
คำถามสำคัญที่นักลงทุนมักสงสัยคือหุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้จริงหรือไม่
Source: S&P Global
ถ้ามองย้อนกลับไปในปี 2020 ที่ผ่านมา คำตอบดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า จริง หากเทียบดัชนี S&P 500 กับ S&P 500ESG Index ตั้งแต่ช่วงปี 2018 – ต้นปี 2019 จะเห็นว่าการลงทุนใน ESG แทบจะไม่ได้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน อาจจะมากกว่าเล็กน้อยแต่ไม่เกิน 1%
แต่หลังจากนั้นในช่วงปลายปี 2019 จนถึงต้นปี 2020 ก่อนจะเกิดการระบาดของโควิด-19 หุ้นกลุ่มนี้ เริ่มชนะตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมาแตะที่ 2 – 3% และพอโควิด-19 เริ่มระบาดจนถึงปัจจุบัน และเอาชนะตลาดได้มากขึ้นไปอีกจนแตะสูงสุดที่ 5 – 6% ก่อนที่ในช่วงหลังจะเริ่มนิ่งที่ 4%
หลายคนอาจจะแย้งพี่ทุย ว่าการที่สามารถชนะตลาดได้เพราะหุ้นส่วนใหญ่ในดัชนีเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี (เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำและมีESG Score ที่สูง) ที่ได้ประโยชน์จากการระบาดของโควิด-19 มากที่สุดอยู่แล้ว และอาจจะเป็นปัจจัยชั่วคราวเฉพาะปีนี้เท่านั้น
แต่อย่าลืมว่าหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในดัชนี S&P 500 ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผลต่างที่เห็นจึงเป็นผลจากประเด็น ESG มากกว่า
นอกจากนี้จากงานวิจัยของ New York University (NYU) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ผ่านการรวบรวมงานวิจัยมากกว่า 1,000 ชิ้น ที่ตีพิมพ์ใน Peer-review journal ในช่วง 2015 – 2020 ช่วยยืนยันอีกทางว่าปรากฏการณ์นี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พร้อมให้ 6 เหตุผลที่เราควรพิจารณาหุ้นกลุ่มนี้ในอนาคตด้วย ดังนี้
ผลประกอบการทางการเงิน
ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ จะเพิ่มขึ้นชัดเจนในระยะยาวมากกว่า (ซึ่งรวมไปถึงราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น)
อ่านต่อเรื่อง “ราคาหุ้น” ขึ้นเพราะอะไร ?
โดยในงานที่ศึกษาผลประกอบการของธุรกิจในระยะยาวพบว่ามีโอกาส 76% ที่จะพบว่าบริษัทที่หันมาใส่ใจและลงทุนในประเด็นที่เกี่ยวกับ ESG จะมีผลประกอบการทางด้านการเงินที่สูงกว่าในระยะยาว ขณะเดียวกัน งานศึกษาในระยะหลังยังพบว่า ตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นทางด้านนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีประเด็นข่าวว่าบริษัทหันมาลงทุนในประเด็นนี้กัน
กลยุทธ์การลงทุน
ในกลยุทธ์การลงทุน (Integration Approach) ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการคัดเลือกหุ้นที่ไม่ยั่งยืนออกไปแทน (Negative Screening Approach) โดยงานศึกษาประมาณ 33% พบว่ากลยุทธ์แรกให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ขณะที่ 53% พบว่าทั้งสองแนวทางให้ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงด้วยการแทรกหุ้นกลุ่มนี้เข้าในพอร์ตลงทุน ยังไม่พบหลักฐานว่าให้ผลตอบแทนที่มากกว่ามาตรฐานของตลาด
ป้องกันผลกระทบด้านลบ
ดูเหมือนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ จะสร้างการป้องกันผลกระทบด้านลบได้ดีกว่า โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือสังคม นั้นคือแทนที่จะเพิ่มผลตอบแทนของการลงทุนเป็นเป้าหมายหลัก การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะให้ผลลัพธ์ช่วยป้องกันไม่ให้ราคาตกลงรุนแรงในช่วงเวลาวิกฤต และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่า (กรณีนี้พี่ทุยคิดว่าเห็นได้ชัดเจนในวิกฤตโควิด-19 ที่เขียนไปก่อนหน้านี้)
สร้างนวัตกรรมที่มุ่งให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน
สาเหตุที่กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและการนำไปปฏิบัติในระดับบริษัท สามารถสร้างผลประกอบการทางการเงินที่ดีขึ้นและลดความผันผวนของธุรกิจได้ งานวิจัยค้นพบว่ากลยุทธ์เหล่านี้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่มุ่งให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืนมากขึ้น แปลว่าการลงทุนเหล่านี้จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ลดการใช้วัตถุดิบและลดของเสียที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยงด้านลบที่ครอบคลุมในทุกมิติมากขึ้น
การลดการปล่อยคาร์บอน
การลงทุนในประเด็นเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Strategy) จะช่วยเพิ่มผลประกอบการทางการเงินของทั้งบริษัทและผลตอบแทนของนักลงทุน แม้ว่างานศึกษาในกลุ่มนี้จะอยู่ในระยะเริ่มต้นและอาจจะต้องติดตามต่อไป แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันและค่อนข้างชัดเจน
ลงทุน ESG เพียงอย่างเดียวไม่พอ
มีเพียงงานศึกษา 26% เท่านั้นที่พบว่าการเปิดเผยข้อมูลหรือประกาศว่าจะลงทุนในประเด็นนี้ ให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่งานศึกษาที่เหลือพบว่าบริษัทจะต้องดำเนินการอะไรบางอย่างที่จับต้องได้ไปพร้อมกันด้วย
ถ้าให้พี่ทุยสรุปการลงทุนในหุ้น ESG น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายคนในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าวิกฤตอาจจะต้องอยู่กับพวกเราไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ สำหรับตลาดหุ้นไทย
พี่ทุยเริ่มเห็นการเติมโตของกองทุนกลุ่มนี้ที่เติบโตมากขึ้นในไม่กี่ที่ผ่านมาและเปิดโอกาสให้คนไทยมีช่องทางเลือกลงทุนได้มากขึ้นด้วย..