ทุกวันนี้ถ้าจะซื้อรถใหม่สักคันคงต้องนึกถึงรถ EV กันบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งในตอนนี้มีอยู่ 2 บริษัทยักษ์ใหม่แห่งวงการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ก็คือ Tesla กับ BYD เจ้าตลาดรถ EV จากสหรัฐฯ และจีน ไม่เพียงแต่การซื้อรถเท่านั้น การลงทุนก็เป็นอีกวงการที่ทั้ง 2 บริษัทจากชาติมหาอำนาจถูกเปรียบเทียบกัน
บทความนี้พี่ทุยเลยจะขอพาไปเปรียบเทียบคู่แข่งคู่นี้แบบปอนด์ต่อปอนด์ว่าใครมีดีอะไร ใครเป็นต่อใครส่วนไหนบ้าง!!!
เทียบยอดขาย Tesla กับ BYD ปี 2021 และ 2022
Tesla มียอดขายปี 2021 ทั้งหมด 936,172 คัน ปี 2022 ทั้งหมด 1,313,851 คัน เพื่มขึ้น 40.34% จากปี 2021 ในจำนวนนี้แบ่งเป็น Model S/X จำนวน 66,705 คัน และ Model 3/Y จำนวน 1,247,146 คัน
BYD มียอดขายรถ EV ทุกชนิด ปี 2021 จำนวน 593,745 คัน ปี 2022 จำนวน 1,863,494 คัน เพิ่มขึ้น 209% จากปี 2021 แต่ถ้านับเฉพาะ Pure Electric Vehicle ยอดขายปี 2022 อยู่ที่ 911,140 คัน
สภาพตลาดรถ EV มีโอกาสให้เติบโตตรงไหนบ้าง
ณ ตอนนี้ Tesla มีภูมิภาคอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน เป็นตลาดหลัก มีธุรกิจในเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และบางประเทศในเอเชีย เช่น ไทย ที่ Tesla กำลังเปิดตลาด
ที่ผ่านมามีข่าวกำลังผลิตไม่เพียงพอ แต่เมื่อโรงงานที่ Berlin เร่งการผลิตขึ้นมา ก็ช่วยแก้ปัญหาการส่งออกรถไปยังยุโรปซึ่งก่อนหน้านั้นการส่งออกไปยุโรปจะมาจากโรงงานที่ Shanghai
ล่าสุดสหรัฐฯ มีนโยบายลดภาษีรถ EV ที่ซื้อใหม่ราคาไม่เกิน 55,000 ดอลลาร์ สูงสุดถึง 7,500 ดอลลาร์ เริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2023 ซึ่ง Model 3 ที่เป็นรุ่นยอดฮิตต้องคุมราคาไม่ให้เกิน 55,000 ดอลลาร์
ส่วน Model Y ยังมีบางรุ่นได้สิทธิ์ลดภาษี แต่รุ่น 7 ที่นั่ง ราคา 80,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีความนิยมมากกว่าไม่ได้รับสิทธิ์นี้ จึงอาจกดดัน upside ของ Tesla
BYD อยู่ในขั้นเปิดตลาดไปทั่วโลก หลังมีโรงงานและตลาดเพียงแค่ประเทศจีน ล่าสุดประกาศเปิดโรงงานประกอบรถในประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ปี 2024 กำลังการผลิตปีละ 150,000 คัน และเปิดโรงงานในบราซิลคาดว่าเริ่มผลิตประมาณปี 2024-2025 แถมยังแว่ว ๆ ว่ามีแผนเปิดโรงงานในยุโรป
BYD เริ่มส่งมอบรถรุ่น Atto 3 ในนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ รวมถึงไทย มาเลเซีย อินเดีย และญี่ปุ่น ส่วนยุโรปก็เริ่มตีตลาดประเทศอื่นนอกจากนอร์เวย์ โดยตั้งราคาสูงกว่าในประเทศจีน ทำให้คาดว่า BYD จะวางตำแหน่งแบรนด์ให้อยู่ในกลุ่ม premium หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง premium
ภูมิภาคอเมริกาใต้ก็เข้าไปทำตลาดแล้วในปี 2023 เริ่มจากบราซิลตามด้วยเม็กซิโก ส่วนสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดที่ BYD ไม่ส่งสัญญาณชัดเจน เนื่องจากกำแพงภาษีนำเข้าจากจีนสูง แม้ BYD จะมีโรงงานผลิตรถบัสและแบตเตอรี่ แต่ยังไม่มีแผนสร้างโรงงานรถ EV ในสหรัฐฯ
Tesla ซึ่งยึดตลาดที่มีกำลังซื้อไปก่อนยังไม่มีแผนเปิดตลาดใหม่ที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับ BYD ที่ก่อนหน้านี้มีตลาดอยู่แค่ในประเทศจีน เปิดเกมส์รุกตลาดทั่วโลกอย่างเต็มที่ รวมไปถึงตลาดที่ Tesla ครองอยู่ก่อนอย่างยุโรปและจีน
กำลังการผลิตและการเจาะกลุ่มตลาด
กำลังการผลิตของ Tesla กลับมาฟื้นตัวแล้ว ลดปัญหาส่งมอบรถล่าช้าโดยเฉพาะในยุโรป แต่ต้องเจอปัญหาใหม่ คือ ความต้องการในประเทศจีนลดลง ตัวเลขส่งมอบรถในจีนเดือน พ.ย. และ ธ.ค. อยู่ที่ 62,059 และ 41,665 คัน ตามลำดับ แทบไม่เติบโตจากปีก่อน รวมไปถึงเศรษฐกิจยุโรปที่คาดว่าจะชะลอตัวในปี 2023 อีกด้วย
มาตรการอุดหนุนจากภาครัฐที่หมดอายุในหลายประเทศที่เป็นตลาดหลักของ Tesla สร้างแรงกดดันให้ Tesla ต้องงัดโปรโมชั่นส่วนลดมาแทน มีข่าวว่า Tesla จะประกาศเปิดโรงงานในเม็กซิโกซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตรถที่ขายในสหรัฐฯ
ปีที่แล้ว BYD ถูก Covid-19 กดดันการผลิตต่ำกว่าเป้า คาดว่าปีนี้การผลิตจะเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากเจาะตลาดทั่วโลกแล้ว BYD ยังสามารถตีตลาด luxury ได้ เพราะ BYD ตั้งราคารถต่ำกว่า Tesla ซึ่งไปเจาะตลาด luxury หรือใกล้เคียง luxury ล่าสุด BYD ส่งรุ่น Denza เข้าสู่ตลาดใกล้เคียง luxury และมีแผนเปิดตัวอีก 2 รุ่น ที่ตั้งราคาระดับ luxury ในปี 2023
มาถึงจุดนี้ยิ่งชัดว่า BYD พร้อมบุกทุกตลาดสู้กับ Tesla รวมไปถึงการตั้งราคาเพื่อวางตำแหน่งของแบรนด์ให้มีความหรูหรายิ่งขึ้น
เปรียบเทียบรถยนต์ EV ของทั้ง 2 ค่าย Tesla กับ BYD
Tesla มีรถยนต์ 4 แบบ ประกอบด้วย Model S รถซีดานเน้นตลาด luxury, Model 3 รถซีดาน ราคาจับต้องได้, Model Y รถ Crossover และ Model X รถ SUV ซึ่งตอนนี้ Tesla ยังไม่ออกรถรุ่นใหม่มาดึงผู้บริโภค
เดือน ธ.ค. 2022 Tesla ส่งมอบรถบรรทุก Semi คันแรกให้ PepsiCo แต่ยังมีคำถามเกี่ยวกับต้นทุนและไม่มีกำหนดการผลิตเชิงพาณิชย์ ส่วนรถสปอร์ตรุ่น Roadster และรถกระบะ Cybertruck ก็ยังไม่มีกำหนดการผลิต ช่วงที่ยังไม่มีรถรุ่นใหม่ออกมา Tesla ก็ลดต้นทุนรุ่น Model 3 ปรับปรุงโฉมและประสิทธิภาพ เพื่อสู้กับยอดขายที่ลดลงเพราะโดนคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาดไป
BYD เปิดตัวรุ่น Seal มาชนกับ Model 3 แต่ราคาถูกกว่า พร้อมตีตลาดรถ SUV ด้วยรุ่น Frigate 07 และเปิดตัวรถเก๋งรุ่น Destroyer เรียกได้ว่าเปิดหน้าแลกกับ Tesla ชัดเจน นอกจากนี้ BYD ยังเป็นผู้ผลิตรถบัส EV รายใหญ่ รวมถึงรถบรรทุกและรถขนาดใหญ่ที่ขายในสหรัฐฯ
ธุรกิจอื่นของ Tesla กับ BYD จะน่าสนใจแค่ไหน
Tesla มีธุรกิจ solar และแหล่งเก็บพลังงาน แต่สัดส่วนรายได้น้อยมาก และยังมีรายได้จากเครือข่าย Supercharger ในยุโรปเปิดให้รถค่ายอื่นมาชาร์จไฟได้ ส่วนในสหรัฐฯ ยังไม่เปิดให้รถค่ายอื่นชาร์จไฟ แต่อาจเปิดบางจุดในเร็วๆนี้ เพื่อรับมาตรการอุดหนุนใหม่จากภาครัฐ
ส่วนธุรกิจขับขี่อัตโนมัติเปิดให้บริการอยู่แค่ระดับ 2 ของระบบช่วยขับขี่ ขณะที่คู่แข่งหลายเจ้าเปิดให้บริการ robotaxi ในบางพื้นที่ซึ่งใช้ระบบระดับ 4 นอกจากนี้ Tesla ยังถูกตรวจสอบระบบขับขี่อัตโนมัติจากภาครัฐอีกมากมาย
BYD มีธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ พัฒนา blade battery เป็นแบตเตอรี่ปลอดภัยที่สุดสำหรับรถ EV ปัจจุบัน BYD ส่งแบตเตอรี่ให้ Tesla และ Ford โดย BYD ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้บริษัทอื่นทั่วโลก และ BYD ยังผลิตชิปใช้เอง ซึ่งช่วยให้ปีที่แล้วบริษัทเติบโต ขณะที่บริษัทคู่แข่งมีปัญหา supply chain
ถ้า Tesla ไม่สามารถใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ จะทำให้ไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต่างจากคู่แข่ง ส่วน BYD มีธุรกิจที่ทั้งช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความแข็งแกร่งด้าน supply chain
Tesla กับ BYD หุ้นบริษัทไหนน่าสนใจกว่า?
ทั้งจำนวนรถที่ขาย รูปแบบธุรกิจ การเจาะตลาด สถานะการเติบโต และระดับราคา BYD มีแต้มต่อ Tesla พอสมควร สะท้อนผ่านอัตราส่วน P/E ของ BYD ที่สูงถึง 82.77 เท่า มากกว่า Tesla ซึ่งอยู่ที่ 53.66 เท่า
ส่วนอัตรากำไร (Margin) BYD ไตรมาส 3/2022 อยู่ที่ 4.97% เพิ่มขึ้นจาก 2.37% เมื่อไตรมาส 3/2021
ส่วนอัตรากำไร (Margin) Tesla ไตรมาส 4/2022 อยู่ที่ 15.31% เพิ่มจาก 13.10% เมื่อไตรมาส 4/2021
รายได้ไตรมาส 4/2022 Tesla อยู่ที่ 24,320 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 37.24% (YoY) กำไร 3,720 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 60.36% (YoY)
ส่วน BYD มีรายได้ไตรมาส 3/2022 ที่ 16,100 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 115.6% (YoY) กำไร 786 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 350% (YoY)
ปีที่แล้วหุ้น Tesla ร่วงอย่างหนักแต่ก็กลับมาฟื้นตัว ตั้งแต่ต้นปีถึง 14 ก.พ. ราคาฟื้นขึ้นมาถึง 69.87% ขณะที่ BYD ก็ปรับตัวขึ้นมา 9.73%
สรุปว่า BYD มีการเติบโตที่น่าสนใจกว่า Tesla แต่ราคาหุ้นก็รับข่าวไปแล้วเช่นกัน ส่วน Tesla ก็มีการเติบโตที่โดดเด่นกว่าบริษัทยานยนต์อื่น ดังนั้นไม่ว่าจะลงทุนบริษัทใด นักลงทุนควรลงทุนระยะยาวและติดตามว่าบริษัทจะมีการเติบโตส่วนใดที่มากกว่าข่าวที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว
อ่านเพิ่ม