Tesla บริษัทรถยนต์ EV สัญชาติสหรัฐฯ ได้รับความสนใจอีกครั้งหลังราคาหุ้นที่เคยพุ่งทะยาน กลับร่วงอย่างรวดเร็วท่ามกลางความกังวลต่ออัตราการเติบโตของบริษัท ส่งให้ หุ้น Tesla ปิดลบถึง 65% ในปี 2022
ขณะเดียวกันสมรภูมิรถยนต์ EV ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ Tesla อาจเจออุปสรรคอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เนื่องจากมีคู่แข่งทั้งหน้าใหม่และเก่าเข้ามาร่วมอีกมากมายที่พร้อมแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Tesla
นักลงทุนอาจมีความสงสัยกันอยู่ว่าแล้วอนาคตของหุ้น Tesla จะเป็นอย่างไรต่อไป จะเติบโตเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาหรือไม่ และคำถามสุดท้าย คือ ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?
ด้วยข่าวที่เข้ามามากมายไม่เว้นวันสำหรับ Tesla พี่ทุยจึงรวบรวมและสรุป 4 เหตุผลที่จะมาให้คำตอบว่าทำไมหุ้น Tesla อาจไม่ปังอีกต่อไปแล้ว ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยกันเลย!!!
ตลาดรถยนต์ EV ในจีน มีคู่แข่งเพียบ ยอดขาย Tesla 2022 โตน้อยลง
ปี 2021 Tesla มีรายได้จากประเทศจีนคิดเป็น 25.7% ของรายได้ทั่วโลก สะท้อนภาพชัดว่าประเทศจีนเป็นตลาดรถยนต์ EV ที่ใหญ่และมีการใช้งานจริงมากที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้ Tesla บุกตลาดจีนโดยปราศจากคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อทำให้รายได้จากประเทศจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นว่ายอดขายรายเดือนในประเทศจีนปี 2021 เติบโตด้วยอัตรามากกว่า 100% บ่อยครั้ง
ปี 2022 คู่แข่งหน้าใหม่สัญชาติจีนก้าวขึ้นมาท้าทายส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น Nio, Li Auto, XPeng และ BYD โดยเฉพาะรายหลังสุดที่ประกาศยกเลิกสายการผลิตรถยนต์ใช้พลังงานฟอลซิลไปเมื่อเดือน เม.ย. 2022 หันมาทุ่มเทกับรถยนต์ EV จนมียอดขายในจีนทัดเทียม Tesla เรียบร้อยแล้ว
แถมสรุปยอดสิ้นปี 2022 ยอดขายรวมรถยนต์ไฟฟ้าทุกแบบของ BYD ก็แซงหน้า Tesla กลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกแทนที่ไปแล้ว ด้วยยอดขายกว่า 1.86 ล้านคัน ขณะที่ Tesla ขายไปได้ 1.3 ล้านคัน
จำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นก็สร้างความลำบากต่อ Tesla แล้ว ยิ่งต้องเจอกับกลยุทธ์การตลาดบริษัทสัญชาติจีนที่เน้นกดราคาต่ำกว่าคู่แข่ง แย่งส่วนแบ่งตลาดให้มากที่สุดแล้วค่อยเพิ่มอัตรากำไร และยังมีคู่แข่งจากกลุ่มบริษัทยานยนต์ดั้งเดิมที่เตรียมเข้าสู่ตลาดรถยนต์ EV เช่น Volvo, BMW, Honda คอยแย่งส่วนแบ่งในประเทศอื่นไปอีก
ช่วงเวลาต่อจากนี้ Tesla จะเผชิญความท้าทายซึ่งกระทบต่อการเติบโตอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
หุ้น Tesla การเติบโตแตะจุดสูงสุดไปแล้ว ปี 2022 นักลงทุนมีความคาดหวังมากเกินไป
เป็นเรื่องปกติของบริษัทที่เติบโตต่อเนื่อง ด้วยฐานรายได้และกำไรที่ใหญ่ขึ้นจึงยากที่จะรักษาอัตราการเติบโตให้เท่าเดิม ผลิตภัณฑ์อื่นทั้งรถบรรทุก Tesla Semi และรถกระบะ Cyber Truck ก็ยังไม่เพียงพอจะรักษาอัตราการเติบโตได้ ส่วนโรงงานที่สร้างใหม่ก็ยังไม่สามารถเร่งกำลังการผลิตได้เต็มที่
คู่แข่งหลักอย่าง BYD ผลิตรถยนต์ EV ด้วยการผลิตชิ้นส่วนทุกชิ้นเองตั้งแต่ผลิตแบตเตอรี่ ชิป จนถึงขั้นตอนประกอบรถยนต์ ซึ่งความได้เปรียบสะท้อนชัดในช่วงที่มี Lockdown และ Supply chain มีปัญหา อีกทั้งระยะยาวอาจสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน
Source: finbox.com
นักวิเคราะห์คาดว่าปี 2022 รายได้ Tesla จะเติบโตประมาณ 54% ปี 2023 เติบโต 41% และปี 2024 เติบโต 24% ดังนั้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่และอัตราการเติบโตชี้ว่า Tesla ผันตัวเองจากหุ้น Hyper Growth ไปสู่หุ้น Growth
ขณะที่นักลงทุนต่างยังคาดหวังให้รายได้เติบโตระดับสูงอย่างที่เคยเป็นมาอยู่ซึ่งต้องบอกว่ามากเกินกว่าที่ Tesla จะทำได้ ราคาหุ้นจึงร่วงลงมาเพื่อปรับความคาดหวังอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
Valuation แพงกว่าบริษัทรถยนต์ EV สัญชาติจีนทั้งที่เติบโตน้อยกว่า
การเปรียบเทียบมูลค่าสำหรับบริษัทที่ยังไม่มีกำไรจะใช้อัตราส่วนราคาต่อรายได้ (Price/Sales) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดไว้ว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า Tesla จะมีอัตราส่วน P/S อยู่ที่ 3.6 เท่า, BYD อยู่ที่ 1.3 เท่า, Nio อยู่ที่ 1.5 เท่า, Li Auto อยู่ที่ 1.6 เท่า และ XPeng อยู่ที่ 2.0 เท่า
ในทางกลับกันนักวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของ Tesla ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตประมาณ 39% ต่อปี BYD จะเติบโตประมาณ 48% ต่อปี, Nio เติบโตประมาณ 52% ต่อปี, Li Auto เติบโตประมาณ 72% ต่อปี และ XPeng เติบโตประมาณ 51% ต่อปี
อาจบอกได้ว่า Valuation ของ Tesla ที่สูงกว่าคู่แข่งจากจีนอาจเป็นส่วนเผื่อความไม่แน่นอนที่บริษัทสัญชาติจีนต้องเผชิญโดยเฉพาะการเมืองระหว่างประเทศและกฎเกณฑ์ในประเทศที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตที่น่าสนใจกว่าของบริษัทรถยนต์ EV สัญชาติจีนก็ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
Elon Musk เปลี่ยนไป ไม่มีความแน่นอน นักลงทุนขาดความมั่นใจ
ผู้บริหารเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามไม่แพ้รูปแบบธุรกิจหรือแนวโน้มการเติบโต ซึ่ง Elon Musk ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Tesla มักสร้างเรื่องขึ้นหน้า 1 เป็นประจำ แต่ก็ยังมีความสนใจบริหาร Tesla ที่นับเป็นข้อยกเว้นได้บ้าง
อย่างไรก็ตามนักลงทุนเริ่มขาดความมั่นใจตั้งแต่ Elon Musk เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Twitter และดูเหมือนจะทุ่มเทเวลากับ Twitter มากกว่า Tesla ซ้ำร้ายล่าสุดยังมีข่าวขายหุ้น Tesla ออกมาอีก 3,600 ล้านดอลลาร์ ทำให้ทั้งปี 2022 Elon Musk ขายหุ้น Tesla ทั้งหมด 23,000 ล้านดอลลาร์ จึงไม่แปลกที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงมาเช่นนี้
ต้องยอมรับว่า Tesla คงไม่เติบโตรวดเร็วอย่างที่เคยเป็นมา แถมยังเปลี่ยนผ่านจากช่วง Hyper Growth ที่เติบโตเร็วกว่าความคาดหวังไปสู่ Growth ที่ความคาดหวังสูงเกินไป
จากนี้ Tesla คงต้องไปเร่งนวัตกรรมที่ยังไม่ได้เปิดตัวในเชิงพาณิชย์สร้างรายได้ให้บริษัท เช่น ระบบ AI, ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และ Robo Taxi เพื่อแข่งขันในสมรภูมิรถยนต์ EV อย่างไรก็ตามในระยะนี้ตอบได้ว่านักลงทุนต้องระวังราคาหุ้นจะปรับตัวลงอีก โดยเฉพาะจากความคาดหวังที่สูงเกินไปท่ามกลางการเติบโตที่ลดลง
อ่านเพิ่ม