โลกการลงทุนมีความไม่แน่นอน บางปีตลาดอาจร่วงรุนแรง นักลงทุนหลายคนประสบปัญหาขาดทุนหนัก ซึ่ง Ray Dalio นักลงทุนชื่อดังระดับโลกก็เจอปัญหาเช่นกัน จึงมีแนวคิดสร้างพอร์ตที่มีสินทรัพย์เหมาะกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ อยู่รอดสร้างผลตอบแทนระยะยาว ชื่อว่า All-Weather Portfolio พี่ทุยจะพาไปรู้จักพอร์ตนี้กันว่า จัดพอร์ตเอาชนะตลาดแบบ Ray Dalio เป็นยังไง
จัดพอร์ตเอาชนะตลาดแบบ Ray Dalio : All-Weather Portfolio คืออะไร ?
All-Weather Portfolio เป็นพอร์ตการลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนได้แม้สภาวะตลาดจะเปลี่ยนไป แนวคิดนี้ถูกพัฒนาโดย Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Hedge Fund ระดับโลกอย่าง Bridgewater
ใช้หลักการกระจายสัดส่วนไปทุกสินทรัพย์แล้วถือไว้ รอให้ผลตอบแทนเติบโตในระยะยาว หลักการนี้มีลักษณะคล้ายกับการจัดพอร์ตแบบ Passive ที่ไม่เน้นสร้างผลตอบแทนชนะตลาด นักลงทุนจึงไม่ต้องปรับสัดส่วนบ่อยหรือเปลี่ยนกลยุทธ์ตามภาวะตลาด
ภาวะเศรษฐกิจสำหรับ All-Weather Portfolio
ภาวะเศรษฐกิจสำหรับ All-Weather Portfolio แบ่งเป็น 4 ภาวะ ทุกภาวะจะมีสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ ดังนี้
- ภาวะเงินเฟ้อ: สินค้าโภคภัณฑ์, พันธบัตรอ้างอิงเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond)
- ภาวะเงินฝืด: หุ้น (เทคโนโลยี ของใช้ฟุ่มเฟือย), ตราสารหนี้
- เศรษฐกิจเติบโต: หุ้น (เทคโนโลยี อุตสาหกรรม), สินค้าโภคภัณฑ์
- เศรษฐกิจชะลอตัว: หุ้น (Health Care สาธารณูปโภค สินค้าจำเป็น), ตราสารหนี้
อาจมีบางช่วงที่ไม่มีสินทรัพย์ใดเลยสร้างผลตอบแทน แต่สินทรัพย์ที่กระจายสัดส่วนไว้จะกลับมาทำหน้าที่ในภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับสินทรัพย์นั้น ส่งผลให้ในระยะยาวพอร์ตมีผลตอบแทนงอกเงยผ่านสภาวะเศรษฐกิจได้
จัดพอร์ตเอาชนะตลาดแบบ Ray Dalio ควรประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
Ray Dalio ออกแบบพอร์ตนี้ให้สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงข้ามผ่านสภาพแวดล้อมตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยหุ้น ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่ง All-Weather Portfolio มีสัดส่วนตราสารหนี้มากกว่าหุ้น
เพราะเป็นพอร์ตที่เน้นควบคุมความผันผวนให้ต่ำ แม้ผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่นมากแต่น่าพอใจเมื่อเทียบกับความผันผวน เพื่อให้นักลงทุนเอาเวลาไปใช้ชีวิตอย่างสบายใจ
ตัวอย่าง All-Weather Portfolio: ตราสารหนี้ 55% หุ้น 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 5% ทองคำ 10% สัดส่วนนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงก็อาจลดสัดส่วนตราสารหนี้และทองคำ เพิ่มสัดส่วนหุ้นซึ่งอาจเน้นไปยังอุตสาหกรรมที่มองเห็นโอกาสในระยะยาวและรับความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม All-Weather Portfolio ต้องมีสัดส่วนตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่ที่สุดของพอร์ต
พอร์ตทำงานยังไงถึงเหมาะกับสายชิล ?
การจัดพอร์ตลักษณะนี้ต่างจากวิธีจัดพอร์ตอื่นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น จัดสัดส่วนตามช่วงอายุ, จัดพอร์ตแบบ 60/40 แต่ All-Weather Portfolio เน้นจัดพอร์ตที่ควบคุมความผันผวน มีผลตอบแทนน่าพอใจในระยะยาว จึงให้ตราสารหนี้เป็นสัดส่วนหลัก เพราะตราสารหนี้มีความผันผวนต่ำกว่าสินทรัพย์อื่นในพอร์ต โดยจะสร้างผลตอบแทนได้ดีช่วงภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจชะลอตัว
ส่วนของหุ้นที่กระจายในหลายอุตสาหกรรมก็จะทำหน้าที่ในแต่ละสภาวะเศรษฐกิจ ด้านสินค้าโภคภัณฑ์มีหน้าที่สร้างผลตอบแทนในช่วงเงินเฟ้อและเศรษฐกิจเติบโต สุดท้ายทองคำมีหน้าที่ลดความผันผวน หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
พอร์ตชิลแบบนี้ทำผลตอบแทนดีหรือไม่ ?
ต้องบอกว่าผลตอบแทนไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับพอร์ตที่มีหุ้น 100% โดยเฉพาะช่วงภาวะเศรษฐกิจเติบโต ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น และยังมีความผันผวนอาจสูงกว่าพอร์ตที่มีตราสารหนี้ 100% แต่ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัว เกิดภาวะเงินเฟ้อ พอร์ตหุ้น 100% ก็ขาดทุนหนักได้ เช่นเดียวกับพอร์ตตราสารหนี้ 100% ซึ่งไม่น่าสนใจในช่วงเศรษฐกิจเติบโต
ส่วน All-Weather Portfolio จะทำผลตอบแทนอย่างค่อยเป็นค่อยไปทุกสภาวะ นำเสนอความสบายใจให้นักลงทุนสายชิล โดยทำผลตอบแทนดีกว่าหุ้นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 การระบาดของ COVID-19 ปี 2020 และ Bear Market ปี 2022
ข้อมูลจาก portfolioslab.com ชี้ว่า All-Weather portfolio ที่ประกอบด้วย
- iShares 20+ Year Treasury Bond ETF (พันธบัตรระยะยาว) 40%
- iShares 7-10 Year Treasury Bond ETF (พันธบัตรระยะกลาง) 15%
- Invesco DB Commodity Index Tracking Fund (สินค้าโภคภัณฑ์) 7.5%
- SPDR Gold Trust (ทองคำ) 7.5%
- Vanguard Total Stock Market ETF (หุ้นเติบโตขนาดใหญ่) 30%
ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 4 พ.ย. 2022 มีผลตอบแทน -23.5% ผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังได้ 4.8% ต่อปี แม้จะสร้างผลตอบแทนไม่โดดเด่น แต่การขาดทุนสูงสุดปีนี้ (Maximum Drawdown) อยู่ที่ 25.47% ส่วนความผันผวน 10 ปีย้อนหลังต่ำเพียง 8.61% ในแง่ความสบายใจในการลงทุนระยะยาว All-Weather Portfolio จัดให้เต็มที่
จากพอร์ตนี้พี่ทุยคิดว่าถ้าอยากให้พอร์ตมีผลตอบแทนและความผันผวนดีขึ้น ควรลดสัดส่วนพันธบัตรระยะยาวซึ่งผันผวนหนักช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นประมาณ 10-15% เพิ่มสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้นที่ผันผวนต่ำกว่า
ข้อดี-ข้อเสีย ของ All-Weather Portfolio
ข้อดี: นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตนี้ได้ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF และด้วยกลยุทธ์ที่กระจายการลงทุนในทุกสินทรัพย์ทำให้มีลักษณะเป็น Passive จึงไม่ต้องลงทุนมุ่งเอาชนะตลาด อีกผลดีที่ตามมาก็คือ ค่าใช้จ่ายต่ำ โดยอาจต่ำกว่าพอร์ตที่มีสัดส่วนกองทุนรวมแบบ Active 100% ประมาณ 0.5-1% ต่อปี
ข้อเสีย: ไม่มีพอร์ตการลงทุนใดไม่มีจุดอ่อน ด้วยสัดส่วนในหุ้นที่มีเพียง 30% ส่งผลให้ในขณะที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น พอร์ตมีผลตอบแทนน้อยกว่าพอร์ตที่มีสัดส่วนหุ้นถึง 80-90% ส่วนความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ส่งผลกระทบต่อพอร์ตผ่านสัดส่วนตราสารหนี้ที่สูง (อัตราดอกเบี้ยขึ้น ราคาตราสารหนี้ลง)
พี่ทุยสรุปว่า All-Weather Portfolio เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการซื้อขายบ่อย ไม่ต้องการจับจังหวะเพราะอาจทำให้เกิดการตัดสินใจผิด และนักลงทุนที่ต้องการใช้เวลากับเรื่องอื่นในชีวิต
อ่านเพิ่ม