ช่วงวิกฤต COVID-19 เมื่อเดือน มี.ค. ปี 2563 ราคา “หุ้น DELTA” ถูกทุบเหลือเพียง 28 บาท ก่อนจะกระเตื้องและขยับพุ่งไปแตะระดับ 800 บาทได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หากใครช้อนซื้อช่วงนั้น ป่านนี้คงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว วันนี้พี่ทุยได้ทำสรุปพร้อมวิเคราะห์แบบเจาะลึกกับ บริษัท เดลต้าอีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) หรือ หุ้น DELTA มาให้เพื่อน ๆ นักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน
หุ้น DELTA ทำอะไร
หุ้น DELTA หรือ บริษัท เดลต้าอีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจําหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ พัดลมอิเล็กทรอนิกส์ (DC Fan) อีเอ็มไอ ฟิลเตอร์ (EMI) โซลินอยด์ และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สําหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีฐานการผลิตอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้ โดยได้แบ่งการดําเนินธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics)
ออกแบบ ผลิต และจําหน่ายเพาเวอร์ซัพพลายสําหรับคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องใช้ในครัวเรือน และรถยนต์ไฟฟ้าโดยผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ ดีซีคอนเวอร์เตอร์ เพาเวอร์ซัพพลายสําหรับคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์อิเลคโทรนิกส์กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า พัดลมระบายความร้อน ตัวแปลงกระแสไฟฟ้าสําหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมและครัวเรือน รวมถึงโซลินอยด์ และอีเอ็มไอ ฟิลเตอร์ เป็นต้น
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์อัตโนมัติ (Automation)
ออกแบบ ผลิต และติดตั้งระบบอัตโนมัติสําหรับภาคอุตสาหกรรมและอาคาร โดยผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ ระบบอัตโนมัติสําหรับเครื่องจักร ระบบขับเคลื่อนสายการผลิต ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ และระบบแสงสว่างอัตโนมัติสําหรับอาคาร เป็นต้น
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
ออกแบบ ผลิต และติดตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานสําหรับเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานสําหรับระบบพลังงาน โดยผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ ระบบโทรคมนาคม พลังงานทดแทน ระบบเก็บพลังงาน และพลังงานกำลังสูง เป็นต้น
โครงสร้างรายได้ ปี 2563
หากเราแบ่งกลุ่มลูกค้าของ DELTA ตามแต่ละภูมิภาค จะพบว่าบริษัทมีรายได้จาก เอเชีย 35% สหรัฐอเมริกา 36% ยุโรป 28% และอื่น ๆ อีก 1%
ในปี 2563 ยอดขายในแถบอเมริกาเหนือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากจากปีก่อนที่ 26% มาอยู่ที่ 36% ในทางกลับกันตลาดเอเชียมีสัดส่วนลดลงจาก 41% มาอยู่ที่ 35% ของยอดขายรวม ในขณะที่ตลาดยุโรปยังคงอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของยอดขายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ผลการดำเนินงานปี 2561-2563
รายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2563 มีจํานวน 63,208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4% และ 19.1% จากปี 2562 และปี 2561 ตามลําดับ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายของกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics) โดยเฉพาะอยางยิ่งยอดขายในกลุ่มเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์สําหรับระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ระบบศูนย์ข้อมูล (Data Center) และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สําหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions)
ในส่วนของกําไรสุทธินั้นเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากรายได้ที่สูงขึ้นและต้นทุนการผลิตที่ตํ่าลง ส่งผลให้ปี 2563 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 11.24% หรือ 7,102 ล้านบาท เทียบกับ 5.69% และ 9.68% ในปี 2562 และปี 2561 ตามลําดับ
จุดแข็งของ DELTA
1. มีลูกค้าอยู่ทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลก
บริษัทฯ มีการขยายธุรกิจไปในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังมีพันธมิตร และเครือข่ายที่หลากหลายที่จะช่วยให้ระบบนิเวศทางธุรกิจมีความโดดเด่นและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
2. ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณใน MSCI Global Standard Indexes (MSCI)
หุ้นที่อยู่ใน MSCI ที่ได้ถูกคัดกรองมาแล้วว่าเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ เหมาะแก่การลงทุน และ ในบางสถาบันมีนโยบายที่ต้องลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน MSCI เท่านั้นด้วย ดังนั้น การที่หุ้นถูกเพิ่มเข้า MSCI จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่ได้เข้านั้นเอง
3. มีการเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่มยานยนต์ที่มีอัตราการขยายตัวสูง
ขณะนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ทำให้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะค่อย ๆ ลดความสำคัญลงเรื่อย ๆ และถูกแทนที่ด้วยพลังงานสะอาด ดังนั้นการที่ DELTA หันมารุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า จึงมีโอกาสที่จะขยายตัวสูงมากขึ้นในอนาคตนั่นเอง
4. การจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของผลกำไรสุทธิ และมีความสม่ำเสมอทุกปี
5. เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก
DELTA เป็นบริษัทลูกของ DELTA Electronics (Taiwan) ที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปโดยตรง
อัตราส่วนทางการเงินของ “หุ้น DELTA”
หากพิจารณางบปี 2563 ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่ง รายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายของกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ (Power Electronics) ประกอบค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่า ผลักดันให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนไปปิดที่ราคา 486 บาทเมื่อสิ้นปี 2563
ในส่วนของ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.69 บาทต่อหุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 2.32 บาทต่อหุ้น
P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯจะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต จากการเติบโตของตลาด 5G และมีโอกาสเติบโตใน Power charging ของ EV Car
P/E Ratio เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ระดับ 102.7 เท่า บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต และเมื่อผลประกอบการในอนาคตออกมากำไรเพิ่มมากขึ้น P/E ของ DELTA ก็จะลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง
ในส่วนของ D/E Ratio ตามปกติแล้วบริษัทที่มี D/E Ratio มีค่าที่ต่ำ แปลว่าบริษัทมีภาระหนี้สินที่ต่ำ คือ ใช้เงินส่วนใหญ่ของตัวบริษัทเองในการทำธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงของธุรกิจที่มีน้อย ทำให้มีโอกาสในการกู้ได้มากกว่าจากการที่บริษัทฯ มีหนี้สินอยู่น้อย
ROA และ ROE เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามหลักการแล้วยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่งบอกว่าสามารถนำสินทรัพย์และเงินของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรสุทธิได้ในระดับที่สูง
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ DELTA
1. มุ่งมั่นเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งรายได้และผลกำไร
2. ขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับภูมิภาค และทำให้แบรนด์ของ DELTA เป็นที่รู้จักมากขึ้น
3. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกด้านตลอดจนคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศ
4. ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ด้วยความซื่อสัตย์ และตรวจสอบได้
5. สร้างแรงจูงใจให้พนักงานด้วยการฝึกอบรมให้ความรู้และการยกระดับคุณภาพชีวิต
6. ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน
อนาคตของ “หุ้น DELTA” จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. ความต้องการ Semiconductor มีความตึงตัวเนื่องจากการขาดแคลนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจาก DELTA เป็นผู้ผลิตกลางน้ำและเป็นผู้ประกอบชิ้นส่วนเป็นหลัก ซึ่งไม่มีวัตถุดิบต้นน้ำเป็นของตนเอง ด้วยปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนทั่วโลก จึงอาจจะต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการหลากหลายเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ตั้งแต่การสั่งจองการผลิตล่วงหน้ากับซัพพลายเออร์หลัก การติดตามดูระดับสินค้าคงคลังของวัตถุดิบเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนการจัดหาแหล่งผลิตอื่น ๆ ไปในเวลาเดียวกัน บริษัทฯ ไม่ละเลยที่จะติดตามสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง และสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์หลัก เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงาน ของบริษัทฯ จะเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
2. ราคาหุ้นของ DELTA เต็มมูลค่าแล้วหรือยัง ?
หากดูบทวิเคราะห์จาก IAA CONSENSUS พบว่า มุมมองจากนักวิเคราะห์ 10 รายให้ ราคาพื้นฐานเฉลี่ยของ DELTA อยู่ที่ 347 บาท (ข้อมูล ณ 14 ต.ค. 2564) อย่างไรก็ตาม ราคาปัจจุบันของ DELTA แพงกว่าราคาพื้นฐานเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์ให้ค่อนข้างมาก ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
3. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจัยเสี่ยงคือการผันผวนของค่าเงินบาท หากค่าเงินแข็งค่าก็จะทำให้รายได้ของบริษัทฯ ลดลง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ต้องแปลงจากค่าเงินดอลลาร์ แม้ว่าต้นทุนบางส่วนจะเป็นดอลลาร์ แต่เมื่อแปลงกลับมาอาจทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบนั่นเอง
4. แผนในอนาคตของบริษัทฯ
สำหรับแผนในอนาคตที่บริษัทฯ วางไว้ คือโรงงานที่อินเดียจะเป็นผู้ผลิตหลักสำหรับสินค้า ODM และสินค้าสำหรับธุรกิจในภูมิภาค ในขณะที่ปัจจุบันโรงงานในไทยจะเป็นแหล่งผลิตหลักสำหรับสินค้า ODM โดยได้รับการสนับสนุนจากโรงงานในเมียนมาร์และสโลวาเกีย ในปีนี้บริษัทฯ หวังว่าจะสามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนสายการผลิตของโรงงานบางแห่งในไทย และสามารถเปิดดำเนินการโรงงานแห่งใหม่ในตอนใต้ของอินเดีย
5. เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
ปัจจุบันกระแสเทคโนโลยียุคใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังถูกเปลี่ยนแปลงทดแทน (Disruption) จากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม DELTA ถือว่ามีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ EV คือ ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดในรถยนต์ไฟฟ้าและผลิตสถานีชาร์จสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนธุรกิจหลักคือผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์