สำหรับใน EP15 นี้ พี่ทุยพาไปดูอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเหนือจากตราสารหนี้และหุ้น นั่นก็คือ “น้ำมัน” ซึ่งก่อนที่เราจะไปลงทุน กองทุนรวมน้ำมัน เราต้องเข้าใจก่อนว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันกันบ้าง
ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลง คืออะไร ?
ก่อนจะลงทุนอะไร เราต้องเข้าใจสินทรัพย์นั้น ๆ ก่อน พี่ทุยรวมปัจจัยที่กำหนดทิศทางราคาน้ำมันโลกมาให้แล้ว
1. ความต้องการซื้อ (Demand)
ราคาน้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่ราคามีการขยับตามความต้องการซื้อ (Demand) หรือความต้องการใช้น้ำมันของโลก ยิ่งความต้องการใช้งานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าช่วงฤดูหนาวที่มีความต้องการใช้น้ำมันสำหรับเครื่องทำความร้อน หรือจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันด้านการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง ก็ส่งผลทำให้ความต้องการใช้งานน้ำมันเพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. ความต้องการขาย (Supply)
ส่วนเรื่องของ “ปริมาณน้ำมัน (Supply)” ก็คือ กำลังการผลิตของโลก ถ้าหากมีการเพิ่มกำลังการผลิต แนวโน้มของราคาน้ำมันก็จะปรับตัวลดลง และในทางกลับกันถ้าหากมีการลดกำลังการผลิตก็จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งกลุ่มคนที่ควบคุมปริมาณน้ำมันของโลกอยู่ ณ เวลานี้ก็คือกลุ่มโอเปก (OPEC) นั่นเอง
3. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
เนื่องจากน้ำมันส่วนใหญ่ของโลกซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ ใครจะซื้อจะขายน้ำมันก็ต้องแลกเงินดอลลาร์เพื่อซื้อขาย ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงก็ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าเงินดอลลาร์แข็งค่าก็จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
ทำไมการลงทุนผ่าน กองทุนรวมน้ำมัน เป็นทางเลือกที่ง่ายและสะดวกที่สุด ?
สำหรับน้ำมันการเข้าลงทุนผ่านกองทุนรวมจะเป็นทางเลือกที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะน้ำมันไม่เหมือนกับทองคำที่สามารถซื้อทองคำแท่งเก็บได้ แต่การที่เราซื้อน้ำมันมาเก็บไว้เองคงไม่ได้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่าย ๆ
พี่ทุยแนะนำว่า สำหรับการเข้าลงทุนกองทุนรวมน้ำมันในประเทศไทยส่วนใหญ่ จะเป็นกองทุนรวมที่ไปลงทุนกองทุนน้ำมันในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง โดยจะมี 2 กองทุนหลัก ได้แก่
1. Invesco DB Oil Fund (DBO)
เป็นกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง Deutsche Bank Liquid Commodity Index-Optimum Yield Crude Oil Excess Return
2. United States Oil Fund (USO)
เป็นกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI โดยเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อายุสั้นที่สุดเพื่อให้ราคาสะท้อนราคาเป็นปัจจุบันมากที่สุด
ซึ่งจุดประสงค์ของทั้ง 2 กองทุน ก็คือ การทำราคาของกองทุนเป็นไปตามทิศทางของราคาน้ำมันมากที่สุด หรือมันก็คือการลงทุนแบบ Passive ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง
พี่ทุยแนะนำว่าสำหรับใครที่ต้องการลงทุนหรือเก็งกำไรกับน้ำมัน ควรเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนใน 2 กองทุนนี้ (DBO และ USO) เป็นหลักเท่านั้น เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ ผ่านมาหลากหลายวิกฤต แล้วยังสามารถทำให้ราคามีการปรับขึ้นลงที่ใกล้เคียงกับน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง
ลงทุน กองทุนรวมน้ำมัน อย่าลืมดูนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
หลักคิดจะคล้ายกับการเลือกลงทุนกองทุนรวมทองคำ เนื่องจากตลาดน้ำมันส่วนใหญ่จะซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์เช่นกัน ดังนั้นการแข็ง-อ่อน ของค่าเงินจะส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุนเช่นกัน
ถ้าหากมองว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่า พี่ทุยแนะนำให้เลือกกองทุนแบบที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged) แต่ถ้าคาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่า ให้เลือกกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedged) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่า
ซึ่งไม่ว่าเป็นข้อมูลกองทุนรวมที่มีการลงทุนกองทุนรวมหลักกองไหน รวมถึงนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบใด ก็สามารถอ่านได้จาก Fund Fact Sheet ของกองทุนรวมเช่นกัน
โดยที่เราสามารถดูรายชื่อของกองทุนรวมน้ำมันที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันได้ที่ www.morningstarthailand.com เช่นเคย โดยเราจะเลือกกองทุนแบ่งตาม AIMC เป็น “Commodities Energy”
จากการค้นหาจะเห็นได้ว่า ตอนนี้มีกองทุนรวมน้ำมันทั้งหมด 9 กองทุน และแน่นอนว่ากองทุนรวมที่มีนโยบายแบบ Passive ควรจะต้องมีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับกองทุนหลัก DBO หรือ USO มากที่สุด พี่ทุยแนะนำให้ลองเปิด Fund Fact Sheet ทุกกองทุน เพื่อจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าเราเหมาะสมกับกองทุนไหนนั่นเอง
ย้อนกลับไปอ่าน EP ก่อนหน้านี้
อ่าน EP ต่อไป