ปี 2023 ลงทุนอะไรดีที่สุด ? ยิ่งถ้าดูพอร์ตลงทุนตัวเองเวลานี้แล้ว แดงทั้งกระดาน ยิ่งคิดหนักว่า จะลงทุนอะไรเพิ่มดี เผื่อว่าปีนี้จะได้เห็นผลงานบวก ๆ กับเขาบ้าง
วันนี้พี่ทุยก็เลยจะมาสรุปมุมมองของบริษัทลงทุนระดับโลกกันว่า ปี 2023 แต่ละที่มองการลงทุนยังไง และสินทรัพย์อะไรบ้างที่น่าลงทุน
สรุปมุมมองการลงทุน ปี 2023 ลงทุนอะไรดีที่สุด จากสถาบันการเงินระดับโลก
Fidelity International : แนะนำเน้นลงทุนแบบเชิงรับ
สรุปประเด็นสำคัญที่ Fidelity มองว่า มีผลกับการลงทุนปี 2023
หนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจับตาในปี 2023 คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และธนาคารกลางอื่น ๆ มีโอกาสผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ตึงตัว เมื่อเห็นผลกระทบการใช้นโยบายการเงินตึงตัวชัดเจน
สอง ปัญหาการจัดการพลังงานในยุโรป จะมีผลกับราคาพลังงานในปี 2023 ขณะที่การสนับสนุนทางการเงินให้ผู้บริโภค และสภาพอากาศ เป็นปัจจัยแวดล้อมที่ต้องจับตา ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังมีต่อไป ทำให้ความมั่นคงทางพลังงานยังเป็นวาระสำคัญของยุโรปกับอังกฤษ
และ จีนเริ่มส่งสัญญาณการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ซึ่งเป็นผลเชิงบวกกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางจีนน่าจะดำเนินนโยบายการเงินโดยยอมให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าต่อไป เพื่อสนับสนุนการส่งออกให้เติบโต ส่วนสิ่งที่ต้องจับตาคือ นโยบายเกี่ยวกับดิจิทัล ความมั่นคงของชาติ และความเชื่อมั่นในประเทศ เพื่อเปิดตลาดทุน รวมทั้งจับตาความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีนที่ตึงเครียดด้วย
ตลาดมักจะไม่ค่อยเดินตามเศรษฐกิจแบบตรงไปตรงมา ดังนั้นสิ่งที่เราอาจจะต้องดูคู่กับไปกับพัฒนาการด้านเศรษฐกิจมหภาค ก็คือ มูลค่าสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งตราสารหนี้และหุ้น
คำแนะนำการลงทุนของ Fidelity ปี 2023 ลงทุนอะไรได้บ้าง
- เงินสด
- พันธบัตรรัฐบาล
- หุ้น
- ลงทุนในประเทศทดแทน อาทิ เม็กซิโก แคนาดา บางประเทศในละตินอเมริกา รวมถึงไทย และเวียดนาม
เงินสด และสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวแบบไม่ค่อยสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่น เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ควรมีในพอร์ตลงทุนสินทรัพย์หลากหลาย
ส่วนพันธบัตรรัฐบาลในเวลานี้ให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น หากปี 2023 เศรษฐกิจลงแรง เชื่อว่าธนาคารจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เมื่อการเติบโตชะลอตัว ซึ่งในสภาวะแบบนี้ จะทำให้ราคาตราสารหนี้ขยับขึ้นสูง เทียบกับ 40 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้ามีไว้ก็ช่วยลดความเสี่ยงให้พอร์ตได้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
และนี่เป็นช่วงเวลาที่กลับไปลงทุนหุ้นได้ แต่เนื่องจากความผันผวนยังสูง หุ้นยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้อยู่ จากการที่ประมาณการกำไรและมูลค่าหุ้นยังไม่สะท้อนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ขณะที่หลายตลาดปรับลงก็จริง แต่มูลค่าหุ้น ยังห่างไกลจากคำว่า “ถูก” เมื่อเทียบกับในประวัติศาสตร์ ดังนั้นต้องมองหาหุ้นที่เติบโตได้ ท่ามกลางการเติบโตของโลกที่ต่ำ
การเอาตัวออกห่างจากโลกาภิวัฒน์ เปลี่ยนเป็นมองหาประเทศในกลุ่มพันธมิตรด้วยกัน ยังมีต่อไปในปี 2023 โดยเราจะพบว่า การแยกทางกันของจีนกับชาติตะวันตกจะเกิดขึ้นต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป และการมองหาประเทศอื่นเพื่อเป็นห่วงโซ่อุปทานทดแทนจีน ก็เป็นโอกาสของประเทศเหล่านั้น เช่น เม็กซิโก แคนาดา บางประเทศในละตินอเมริกา รวมถึงไทย และเวียดนาม
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็คงอย่าสูญเสียภาพใหญ่ปลายทางข้างหน้าที่วาดเอาไว้ เพียงแต่ระหว่างทางต้องตื่นตัวกับโอกาสที่เข้ามาด้วย เพื่อให้อยู่ในเทรนด์การปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ในช่วงสั้น และลดผลกระทบในขาลงด้วย
4 สิ่งที่ Fidelity มองว่า จะทำให้บรรยากาศการลงทุนเปลี่ยนทิศทางเป็นดีขึ้นในปี 2023
- เมื่อไหร่ FED เปลี่ยนมุมมอง ก็จะเป็นปัจจัยบวกกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หุ้นกู้ รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลด้วย
- ถ้าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจบ หรือมีมาตรการสนับสนุนผู้บริโภคในยุโรปออกมา ก็จะทำให้นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นกับยุโรป
- การที่จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด กลับมามุ่งเน้นการเติบโต และถอยห่างจากเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ก็เป็นอีกสัญญาณบวกกับตลาดได้
- แนวทางของธนาคารกลางญี่ปุ่น เกี่ยวกับการยกเลิกการเข้าไปควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน อาจไปขัดขวางการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้น
Morgan Stanley : ปีที่ดีของการลงทุนแบบเน้นคาดหวังดอกผล (Yield)
สรุปมุมมองการลงทุนปี 2023 จาก Morgan Stanley
- ภาพที่เราเห็นในปี 2023 จะแตกต่างจากปี 2022
- แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก และเงินเฟ้อที่ลดลงจะทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ต้องหยุดการขึ้นดอกเบี้ย
- เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าสุดในปี 2022 จะอ่อนค่าลงในปี 2023
- ปี 2023 จะเป็นปีที่ดีของการลงทุนที่คาดหวังรายได้จากการถือสินทรัพย์ โดยตราสารหนี้ ซึ่งเป็นผู้แพ้รายใหญ่ที่สุดในปี 2022 จะเป็นผู้ชนะรายใหญ่ที่สุดในปี 2023 โดยตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูงจะทำผลงานได้ดีมาก หลัง FED หยุดขึ้นดอกเบี้ย แม้จะมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา
- หุ้นและตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ที่เคยทำผลงานได้ต่ำกว่าปกติในวัฎจักรเศรษฐกิจรอบนี้ จะฟื้นตัวในปี 2023 โดยหุ้นในตลาดเกิดใหม่ และหุ้นญี่ปุ่น น่าจะให้ผลตอบแทนได้เกิน 10%
- พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี คาดว่าจะให้ผลตอบแทน 3.5% ณ สิ้นปี 2023 จากที่เคยให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อเดือน ต.ค. 2022 ที่ 4.22%
- ผลิตภัณฑ์ประเภทที่มาจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เช่น หลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน ที่ตั้งราคาเหมาะสม จะมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะปรับขึ้นได้
- ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ อาจจะปิดสิ้นปี 2023 ที่ระดับ 3,900 แต่ระหว่างทางก็อาจจะแกว่งตัวไปมาบ้าง
- น้ำมันจะทำผลงานได้ดีกว่าทองคำ กับทองแดง โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นดัชนีราคาน้ำมันระดับโลก จะปิดสิ้นปี 2023 ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ข้อมูลการประเมินดัชนีหุ้นในตลาดต่าง ๆ ที่ Morgan Stanley มอง ทั้งในกรณีพื้นฐาน กรณีมองบวก และกรณีมองเลวร้าย
สิ่งที่ Morgan Stanley แนะนำให้นักลงทุนจับตา และให้ความสำคัญ
นักลงทุนต้องมีชั้นเชิงมากขึ้น ต้องให้ความสนใจ ติดตามใกล้ชิดเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ ผลการดำเนินงานของบริษัท และมูลค่าสินทรัพย์
ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ และยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเวลานี้
BNP Paribas Asset Management : เน้นกลุ่มการลงทุนยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
สรุปมุมมองเศรษฐกิจและตลาดจาก BNP Paribas Asset Management
เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงถดถอย จากนโยบายดอกเบี้ยสูง ยุโรปเผชิญวิกฤติพลังงาน จีน ยังติดอยู่กับนโยบาย zero-Covid และรอยร้าวในภาคอสังหาริมทรัพย์
รัฐบาลจีนมุ่งเน้นมาตรการกระตุ้นการเติบโต ส่วนรัฐบาลฝั่งตะวันตกเน้นมาตรการช่วยเหลือครัวเรือนและบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางใช้นโยบายเพื่อลดเงินเฟ้อ
หุ้นยังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำผลตอบแทนเหนือค่าเฉลี่ยปกติได้ มุมมองที่เป็นบวกของตลาดที่มีต่อการดำเนินงานของบริษัท เริ่มขยับมาใกล้เคียงความเป็นจริงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น โดยบริษัทยังคงมองการลงทุนในหุ้นไว้กลาง ๆ ไม่ได้ให้น้ำหนัก เน้นให้ระมัดระวังการลงทุนหุ้นยุโรป แต่มีมุมมองบวกกับหุ้นสหรัฐฯ
ตราสารหนี้ในยุโรปที่อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) มีความน่าสนใจมาก เพราะผู้ลงทุนมีโอกาสที่ดีจากการได้รับส่วนต่างที่มากขึ้น ถ้าลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
ธีมการลงทุนที่ BNP Paribas มองว่าน่าสนใจ
นักลงทุนควรมุ่งเน้นการลงทุนเกี่ยวกับความยั่งยืนของแหล่งทรัพยากรระยะยาว โดยมีโอกาสการลงทุนอยู่ในกลุ่มพลังงานไฮโดรเจน การจัดเก็บพลังงาน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
ธีมการลงทุนที่เกี่ยวข้อง คือ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยสินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) รวมถึงสินทรัพย์ในตลาดจีน ที่อยู่ในธีมนี้ น่าสนใจ
J.P. Morgan : เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับสมดุลการลงทุนตราสารหนี้และหุ้นในพอร์ต
สรุปมุมมองสำคัญจาก J.P.Morgan
- นักลงทุนจะเผชิญทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ในปี 2023
- เงินเฟ้อยังสูงอยู่ แต่ถึงจุดหนึ่งธนาคารกลางจะต้องขึ้นดอกเบี้ยช้าลงเพราะการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว
- ตราสารหนี้และหุ้นในกลุ่มสุขภาพ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม จะทำผลงานได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น
- ไม่มีเวลาไหนจะดีไปกว่านี้แล้วสำหรับนักลงทุนที่จะปรับพอร์ตโฟลิโอ ลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ให้สมดุลกัน
ลงทุนอะไรดีที่สุด 2023 สินทรัพย์อะไรบ้างที่น่าสนใจ มาช่วยถัวพอร์ตได้
คราวนี้พี่ทุยจะลองหยิบเอาเทรนด์เหล่านี้ มาบวกกับพอร์ตลงทุนของพวกเรากันเองบ้าง
เชื่อว่าหลายคน น่าจะเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กันคือ พอร์ตติดลบ และอยากเห็นพอร์ตเป็นบวกในปี 2023 ซึ่งพี่ทุยก็ต้องบอกว่า มีโอกาสจะเป็นไปได้
อันดับแรก ในกรณีที่พอร์ตเดิมของเรามีหุ้นอยู่มาก แล้วมีตราสารหนี้น้อย พูดง่าย ๆ ก็คือ เสี่ยสั่งลุยมาเลย กะฟันกำไรจากหุ้นเต็มที่ แต่ปรากฎว่าหุ้นแดงเถือก ก็ต้องบอกว่า ถ้าเป็นคนที่คิดลงทุนระยะยาว ถึงยังไงหุ้นก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่จะพาเราเติบโตไปได้ดีที่สุด เพียงแต่ระยะสั้น หุ้นจะผันผวนมากหน่อย และอาจะทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้เราเห็นพอร์ตติดลบ
ถ้ามองว่า ปีนี้ไม่พร้อมลุย ไม่พร้อมลบไปกว่านี้แล้ว ก็อาจจะลองเพิ่มตราสารหนี้คุณภาพดีเข้าไปในพอร์ต เพื่อช่วยให้พอร์ตดูดีขึ้น ดูมีความเสี่ยงบาดเจ็บน้อยลง แต่นั่นหมายความว่า โอกาสรับผลตอบแทนก็จะลดลงไปเช่นกัน
ซึ่งพี่ทุยมองว่า ไม่เสียหายอะไร ถ้าบางปีจะพักความคาดหวังผลตอบแทนไปบ้าง ในเมื่อสภาพแวดล้อมการลงทุนไม่ได้เอื้ออำนวยเท่าไหร่และเราเองก็ไม่พร้อมรับแรงกระแทก
แต่ถ้าเห็นพอร์ตลบแล้ว เฉย ๆ ก็อยากเห็นพอร์ตปีนี้เป็นบวกนะ แต่ถ้าลบอีกก็ไม่เป็นไร พี่ทุยมองว่า มองอีกมุมปี 2023 ในช่วงที่เรารู้สึกว่าหุ้นลงไปจนต่ำมาก ๆ ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีของการเข้าไปเก็บหุ้นถูกคุณภาพดี ถ้าคิดว่าจังหวะนี้ หุ้นยังไม่ถูก ก็เก็บเงินรอไว้ก่อน ถึงเวลาจะได้มีเงินเข้าไปสะสมได้
โดยรวมแล้ว พี่ทุยมองว่า อยู่ที่ตัวเราเลย อยากเสี่ยงขาดทุนน้อยลงก็เพิ่มตราสารหนี้เข้าไป อยากได้โอกาสซื้อของถูก เพราะมองไกล ๆ ยาว ๆ ก็ซื้อหุ้นเพิ่มได้ หรือถ้ามีเงินลงทุนมาก จะเพิ่มตราสารหนี้และหุ้นก็ดีต่อใจ และดีไปอีกถ้าใส่สินทรัพย์อื่นเข้าไปในพอร์ตบ้าง จะได้กระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ พี่ทุยอยากย้ำเพื่อน ๆ ว่า เวลาลงทุน อย่าไปนึกถึงแต่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียว เพราะผลตอบแทนสูง แลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูง ฉะนั้นถ้าเราคาดหวังผลตอบแทนสูง ก็มีโอกาสที่ระหว่างทางเราจะบาดเจ็บจากการขาดทุนสูงได้ เพราะความเสี่ยงมันก็สูง
เราควรคำนึงถึง ระยะเวลาที่ต้องการลงทุนและนำเงินนั้นออกไปใช้ด้วย ถ้าไม่ได้คิดจะใช้เงินเร็ว ๆ นี้ เป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว ก็ขอให้มองข้ามช็อตไปไกล ๆ อย่าไปนั่งโฟกัสพอร์ตลงทุนทุกวัน แต่ทบทวนพอร์ตเมื่อเรารู้ตัวว่าเรารับความเสี่ยงไม่ได้เท่าเดิมแล้วดีกว่า
ส่วนการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะสั้น ก็ควรระมัดระวังให้มากกว่าการลงทุนระยะยาว เพราะเรามีเวลาน้อยกว่า ถ้านำเงินก้อนนั้นไปลงทุนอะไรที่เสี่ยงมากเกินไป ก็มีโอกาสขาดทุนได้ ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่เราปลื้มเท่าไหร่
อ่านเพิ่ม