‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ ประโยคนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ เพราะ ทองคำ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนไม่ว่าจะรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ก็ให้ความสนใจ และยังคงมีภาพลักษณ์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ในสายตานักลงทุนเสมอ เมื่อผู้คนยังเชื่อถือในมูลค่าของทองคำ แม้แต่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ก็ยังต้องมีทองคำไว้เป็นทุนสำรอง วันนี้พี่ทุยเลยมาวิเคราะห์ให้ฟัง แนวโน้มราคาทองคำ ปี 2568 ว่าเป็นยังไง
คำถามที่พี่ทุยได้ยินบ่อย ๆ ตอนนี้ก็คือ ปี 2568 ทองคำยังน่าลงทุนอยู่มั้ย ? ก่อนอื่นพี่ทุยขอสรุปก่อนว่าปี 2567 ตลาดทองคำโลก เจออะไรมาบ้าง
สรุปเหตุการณ์ในตลาดทองคำปี 2567
ต้องบอกว่าปี 2567 นี้ เป็นปีทองของทองจริง ๆ จากข้อมูลของ Trading Economics ราคาทองคำในตลาดโลก ทำสถิติสูงสุดใหม่ ณ วันที่ 30 ต.ค. 2024 ที่ 2,790.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และถ้าลงทุนทองคำตั้งแต่สิ้นปี 2023 ด้วยราคาทองคำในตลาดโลกที่ 2,062.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ วันที่ 29 ธ.ค. 2023 และขายทองคำในวันที่ 30 ต.ค. 2024 ในราคาสถิติสูงสุดใหม่ จะมีกำไรถึง 727.47 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 35.27%
ราคาทองคำในประเทศไทย ปี 2024 สูงสุด ราคาขายออก ทองคำแท่ง 96.5% อยู่ที่ บาทละ 44,550 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค. 2024 วันเดียวกับที่ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติสูงสุดใหม่
ในเดือน ธ.ค. 2024 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.25-4.50% โดยที่ Jerome Powell ประธาน Fed ระบุว่า ปี 2025 การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอาจจะทำได้ไม่ง่ายนัก ซึ่งก็ต้องพิจารณาจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อกันอีกที ขณะที่ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของกรรมการ Fed ส่วนใหญ่ มองอัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 3.75-4.00% ซึ่งก็แปลว่า อาจจะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ 3-4 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่า 2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
แนวโน้มราคาทองคำ ปี 2568 จากสถาบันต่าง ๆ
สรุปคาดการณ์ ราคาทองคำปี 2024 ของ ING
- Goldman Sachs 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์
- UBS 2,900 ดอลลาร์/ออนซ์
- J.P. Morgan 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์
- ING Bank 2,760 ดอลลาร์/ออนซ์
- Citi Research 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์
- World Gold Council 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์
สรุปปัจจัยบวกและลบต่อ แนวโน้มราคาทองคำ ปี 2568
- ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และค่าเงินดอลลาร์
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจ : กระทบโดยตรงกับความต้องการอุปโภคบริโภคของผู้บริโภค
- ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น : กระตุ้นให้นักลงทุนต้องการหาวิธีป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe haven)
- ต้นทุนค่าเสียโอกาส : พิจารณาผลตอบแทนจากทองคำที่จะได้ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตร มีผล ทำให้ทองคำน่าสนใจมากขึ้น หรือน้อยลง
- โมเมนตัม : การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ จะเร่งแนวโน้มการปรับขึ้น หรือปรับลดได้
ทั้งนี้ จากผลสำรวจมุมมองของนักวิเคราะห์ และตัวชี้วัดอื่น ๆ โดย Oxford Economics ณ วันที่ 30 พ.ย. 2024 คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสมมติที่ 1 มากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
สรุปมุมมอง แนวโน้มราคาทองคำ ปี 2568 จากสถาบันต่าง ๆ
คราวนี้มาดูกันบ้างว่า สถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนระดับโลก มองอนาคตราคาทองคำในปี 2025 อย่างไรบ้าง
Goldman Sachs
บทวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ราคาทองคำในตลาดโลก ปี 2025 มีโอกาสไปแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ โดยการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังคงสัมพันธ์กับการปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ เมื่อดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น ราคาทองคำมักจะปรับลดลง แต่เมื่อดอกเบี้ยปรับลดลง ราคาทองคำมักจะปรับขึ้น
ขณะที่ หลังจากที่ธนาคารกลางต่างๆ เข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2022 ก็ทำให้ปัจจัยนี้มีผลต่อราคาทองคำมากขึ้น โดย Goldman Sachs คาดว่า ความต้องการซื้อทองคำ 100 ตัน จะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้อย่างน้อย 2.4%
ทั้งนี้ ธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้ว ถือทองคำในทุนสำรองในสัดส่วนที่สูง เช่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ที่ถือทองคำมากกว่า 70% ของทุนสำรองทั้งหมด ส่วนในตลาดเกิดใหม่ มีทองคำในทุนสำรองสัดส่วนน้อย เช่น จีน มีเพียง 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ ดังนั้นก็ยังมีโอกาสที่ธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ จะเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองไล่ตามประเทศพัฒนาแล้ว
ในส่วนของประเด็นหนี้สาธารณะสหรัฐฯ นั้น พบว่า ผู้กำหนดนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ มีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนหนี้ต่อ GDP สูง โดยมีสัดส่วนการกู้ถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 124% ของ GDP ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศ กังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการคลังของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ Goldman Sachs ระบุว่า นักลงทุนแถบซีกโลกตะวันตกมีการกลับเข้าไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น ในช่วงที่ตลาดการเงินกำลังให้ความสนใจกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากมองว่า การลงทุนในทองคำ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น เหตุการณ์ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้าที่มีมากขึ้น รวมถึงยังป้องกันความเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ และความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีนักลงทุนแถบซีกโลกตะวันตกอีกกลุ่มที่กังวลว่า ราคาทองคำถูกไล่ขึ้นไปจนสูงแล้ว และบางคนมองว่า พวกเขาพลาดโอกาสในช่วงการปรับขึ้นราคา และระมัดระวังการซื้อทองคำในช่วงที่ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์
UBS
ขณะที่ UBS มองว่า ในปี 2025 คาดว่า ราคาทองคำจะไปแตะระดับ 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ก็มองว่า ยังมีพื้นที่ให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปได้อีก
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุน ได้แก่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งจากข้อมูลในอดีต ในช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมีความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการที่เงินไหลเข้ามาซื้อกองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETF) ที่อ้างอิงทองคำ โดยจากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 1980 พบว่า ใน 180 วัน หลังจากวันที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรก ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ดังนั้นจึงได้ประโยชน์เมื่อดอกเบี้ยที่แทัจริงลดลง
นอกจากนี้ จากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 และการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ก็คาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้เงินดอลลาร์ที่เคยแข็งค่าขึ้น อ่อนค่าลงในปี 2025 ในด้านความต้องการซื้อทองคำของธนาคารกลาง ก็เป็นอีกแรงขับเคลื่อนราคาทองคำที่สำคัญ โดยเฉพาะแรงซื้อจากธนาคารกลางในประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มองหาการกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ จากเงินดอลลาร์ คาดว่านโยบายของทรัมป์จะอ่อนค่าลงในปี 2025 ซึ่งก็เป็นแรงสนับสนุนให้ราคาทองคำในปี 2025 ปรับขึ้นต่อได้เช่นกัน
ทั้งนี้ จากข้อมูลในอดีต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากตัวแทนจากพรรครีพับลิกันชนะ โดยเฉลี่ยแล้วราคาทองคำจะปรับลดลง 3% ในช่วง 1 เดือนหลังจากการเลือกตั้ง ขณะที่ ความผันผวนจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนที่มาจากนโยบายของทรัมป์
J.P.Morgan
ด้าน J.P. Morgan มองว่า ราคาทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง ด้วยภาพรวมปัจจัยมหภาคของปี 2025 ยังคงสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้อยู่ โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะขึ้นไปอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ในปี 2025
ING Bank
ในปี 2025 นักลงทุนจะยังต้องการถือครองทองคำต่อไป ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ส่วนความต้องการของธนาคารกลางต่างๆ ในการซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มนั้น ก็คาดว่าจะยังเป็นอีกพลังสำคัญผลักดันราคาทองคำให้ทำสถิติใหม่ได้อีกครั้ง
ขณะที่ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือน ก.ย.2024 นั้น ก็คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้ต่อ
ทั่้งนี้ ING เชื่อว่า โมเมนตัมด้านบวกของทองคำจะยังดีอยู่ในระยะสั้นจนถึงระยะกลาง ไม่ว่าจะเป็นด้านดอกเบี้ยที่ปรับลดลง การกระจายความเสี่ยงเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินไป จะเป็นแรงส่งให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยฉุดรั้งแนวโน้มระยะยาว เช่น นโยบายของทรัมป์ ทั้งด้านการขึ้นภาษีนำเข้า และการควบคุมผู้อยพเข้าเมือง โดยเราคาดว่าราคาทองคำเฉลี่ยในปี 2025 จะอยู่ท่ี 2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์
Citi Research
ราคาทองคำในปี 2025 มีแนวโน้มปรับขึ้น แตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ เป็นผลจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมถึงความต้องการซื้อทองคำที่ยังแข็งแกร่งทั้งจากธนาคารกลางที่ต้องการซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง และนักลงทุนทั่วไป ที่กังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มชะลอตัวในอนาคต รวมถึงกังวลกับ หนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงมูลค่าหุ้นได้ จึงซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
Wellington Management
Wellington Management ระบุว่า ยังคงเพิ่มน้ำหนักลงทุนบนทองคำไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังมีปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่อง ได้แก่ ธนาคารกลางยังคงเข้าซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองต่อเนื่อง ความต้องการทองคำจากกองทุนรวมดัชนี (ETF) และคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นและส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้ ก็มีโอกาสปรับขึ้นได้จำกัดอยู่ ในส่วนของความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ ก็ทำให้ทองคำยังมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนต้องการ
ถ้าดูจากตัวเลขคาดการณ์ราคาทองคำปี 2025 ของสำนักต่าง ๆ ที่พี่ทุยรวบรวมมาแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยังมีโอกาสเห็นราคาทองคำทำลายสถิติสูงสุดใหม่อีกหลายรอบได้ในปี 2025 แต่คำถามก็คือ สำหรับนักลงทุนแล้วยังซื้อได้รึเปล่า เข้าไปตอนนี้จะไปอยู่ยอดดอยมั้ย
พี่ทุยมองว่า ทองคำ ยังเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตลงทุนไว้ เพียงแต่มีในสัดส่วนที่ไม่มากเกินไป อาจจะประมาณ 5-15% ของทั้งพอร์ตลงทุนเท่านั้น โดยที่นักลงทุนควรจะมองทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง ในกรณีที่ หุ้น หรือตราสารหนี้ในพอร์ต ปรับลดลงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะว่า ทองคำ มักจะไม่ให้เคลื่อนไหวในทิศทางที่สัมพันธ์กับหุ้นหรือตราสารหนี้
อย่างไรก็ตาม หากมองเรื่องการเก็งกำไรทองคำ ในช่วงราคาปรับขึ้นนั้น พี่ทุยมองว่า อันนี้แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าใครคิดจะซื้อเพื่อเก็งกำไร ก็ควรชั่งใจ ไม่ใส่เงินเข้าไปลงทุนทองคำมากเกินไป เพราะถ้าอยู่ดีๆ สงครามสงบ เงินเฟ้อลด ความวุ่นวายไม่มี เวลาราคาทองคำจะลง ก็มีโอกาสลงเร็วได้เหมือนกับตอนขึ้นเหมือนกัน ฉะนั้น ระมัดระวัง ลงทุนแต่พอดี ดีที่สุด
ราคาทองคำขึ้นหรือลงจากอะไร ?
พี่ทุยจะชวนมาวิเคราะห์กันว่า อะไรที่มีผลกับราคาทองคำบ้าง ซึ่งจากการรวบรวมก็พบว่า มีปัจจัยสำคัญ ๆ 4 เรื่อง คือ
1. นโยบายการเงินและดอกเบี้ย – ถ้าดอกเบี้ยต่ำ นโยบายการเงินผ่อนคลายมาก ๆ ทำให้มีสภาพคล่องในระบบสูง จนคนรู้สึกว่า มูลค่าเงินในมือนั้นลดลง คนก็จะสนใจซื้อทองคำ เพื่อหวังเก็บรักษามูลค่าเงินไว้
2. เงินเฟ้อ – โดยปกติแล้ว ตัวแปรที่มีผลกับเงินเฟ้อมาก ๆ ก็คือราคาน้ำมัน พอน้ำมันขึ้นไปสูง ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะสินค้าตัวอื่น ๆ ก็จะขึ้นราคาไปด้วย แต่ก็เป็นไปได้ที่เงินเฟ้อจะมาจากสินค้าตัวอื่นได้
โดยรวมแล้ว พอมีภาวะเงินเฟ้อสูง ก็จะทำให้คนรู้สึกว่า มูลค่าเงินที่มีอยู่ในมือหายไป เช่น เคยซื้อบะหมี่หมูแดงกินในราคา ชามละ 30 บาท ยุคเงินเฟ้อพุ่ง หมูแพง แม่ค้าขอขึ้นราคาบะหมี่หมูแดงเป็น 40 บาท แปลว่า ถ้ามีเงินในกระเป๋าอยู่ 120 บาท เคยกินก๋วยเตี๋ยวได้ 4 ชาม ก็เหลือกินได้แค่ 3 ชาม เมื่อมูลค่าเงินในมือลดลงแบบนี้ ก็อาจรู้สึกว่าไปซื้อทองคำเก็บไว้ดีกว่า เพราะเชื่อว่า ทองคำช่วยรักษามูลค่าเงินได้
3. ค่าเงินดอลลาร์ – เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลหลักที่ใช้ค้าขายกันทั่วโลก ซึ่งโดยปกติเวลาเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนจะรู้สึกว่า มูลค่าเงินในมือหายไป ก็จะหันมาสนใจซื้อทองคำเพื่อเก็บไว้ เนื่องจากมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าเงินดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำก็จะลดลง
4. ความต้องการซื้อขายทองคำ – ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ความต้องการซื้อและขาย ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อราคา สมมติถ้าช่วงไหนคนอยากได้ทองคำไว้ครอบครองเยอะกว่าทองคำที่มีออกขายในตลาด ราคาทองคำก็ย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา โดยความต้องการทองคำนั้น มาจาก 3 ส่วน คือ อุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ที่ต้องใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบในการผลิต อุตสาหกรรมเครื่องประดับ และนักลงทุนที่เข้าไปซื้อเพื่อลงทุน
โดยรวมแล้ว ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อสูง เงินดอลลาร์อ่อนค่า รวมถึงความต้องการทองคำสูง ๆ สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยปกติ มีสงคราม มีวิกฤติโรคระบาด หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งพี่ทุยคิดว่า ทุกคนน่าจะพอเห็นภาพนี้กันชัด ๆ แล้วในช่วงปี 2020 ที่โควิดเริ่มแพร่ระบาด
5 ช่องทางการลงทุนทองคำ
1. ซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ
ช่องทาง : ร้านทอง, แอปพลิเคชันซื้อขายทองคำของร้านทองต่าง ๆ
เหมาะสำหรับใคร : หากต้องการซื้อเพื่อลงทุน ควรซื้อในรูปแบบทองคำแท่งเพราะไม่มีค่ากำเหน็จเหมือนทองรูปพรรณ ขายได้ราคาสูงกว่า แต่หากต้องการซื้อเพื่อสวมใส่เป็นเครื่องประดับและลงทุนด้วย ก็ซื้อทองรูปพรรณได้
ในส่วนของทองคำแท่งปัจจุบันซื้อผ่านแอปพลิคันซื้อขายทองคำของร้านทองต่างๆ ได้ หากต้องการจะถอนเป็นทองคำ ก็สามารถไปรับที่ร้านทองได้
2. ออมทอง (การทยอยซื้อสะสมด้วยเงินทีละน้อย)
ช่องทาง : แอปพลิเคชันซื้อขายทองคำของร้านทองต่าง ๆ
เหมาะสำหรับใคร : ปัจจุบันร้านทองหลายแห่งจัดทำแอปพลิเคชันสำหรับซื้อขายทองคำ ซึ่งเปิดโอกาสให้ซื้อในรูปแบบออมทอง คือ ทยอยสะสมด้วยเงินทีละน้อยได้ เมื่อราคาปรับขึ้นไปก็สามารถขายทองคำที่สะสมไว้ได้ หรือจะรอถอนออกมาเป็นทองคำเมื่อซื้อครบสลึงหรือครบบาทก็ทำได้
3. ซื้อกองทุนรวมทองคำ
ช่องทาง : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
เหมาะสำหรับใคร : เหมาะสำหรับคนที่มีเงินลงทุนไม่มาก สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำของ บลจ. ต่างๆ ได้ โดยกองทุนรวมทองคำของ บลจ.ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง
4. ซื้อกองทุนรวม ETF ทองคำ
ช่องทาง : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
เหมาะสำหรับใคร : เป็นการลงทุนในกองทุนเปิดที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิงราคาทองคำ ซึ่งสามารถซื้อขายกองทุน ETF ทองคำได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
5. เทรดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures)
ช่องทาง : ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)
เหมาะสำหรับใคร : เป็นการลงทุนทองคำที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เหมาะกับคนที่เข้าใจกลไกของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยผลตอบแทนจะมาจากการเก็งกำไรราคาในอนาคตที่คาดการณ์ไว้ ผ่านการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า
วิธีการนี้ ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ว่ามีความเสี่ยงกำไรและขาดทุนได้สูงมาก ถ้าราคาสัญญาปรับลดลงมาต่ำกว่าหลักประกันที่มี ต้องวางเงินประกันเพิ่มเติม และถ้าปิดสัญญาไม่ได้จนถึงวันส่งมอบ ก็ต้องมีทองคำส่งมอบจริง
สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง กำไรได้ ขาดทุนได้ หากใครสนใจลงทุนทองคำ ก็ลองศึกษาดูว่าตัวเองเหมาะกับการลงทุนวิธีไหน แล้วก็อาจจะแบ่งเงินแค่ส่วนหนึ่งมาลงทุน ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตามหลักการลงทุนที่ดีแล้ว เราควรกระจายความเสี่ยง แบ่งเงินกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทหน่อย เวลาที่สินทรัพย์บางอย่างขาดทุน จะได้ยังมีสินทรัพย์อย่างอื่นในพอร์ตที่อาจจะมีกำไรอยู่ ช่วยให้มูลค่าพอร์ตลงทุนโดยรวมไม่ลดฮวบๆ ไปจนน่าตกใจ
ข้อมูลเพิ่มเติม
ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% มาตรฐานทองคำที่นิยมซื้อขายกันในตลาดโลก
- ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% ทองคำมาตรฐานที่นิยมซื้อขายกันในประเทศไทย
- ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
- ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
อ่านเพิ่ม