ทำไม ฟุตบอลทีมชาติจีน ถึงไปไม่ถึงบอลโลกเสียที

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • จีน คือ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกยุคปัจจุบันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุน การทหาร รวมถึงตัวเต็งในกีฬาโอลิมปิก
  • ในรอบ 100 ปี จีนกลับผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น จากในอดีตที่มุ่งเน้นแต่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการศึกษาเป็นสำคัญ ขณะที่การทุจริตคอร์รัปชั่น นำมาสู่ยุคมืดของฟุตบอลจีน
  • สี จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ประกาศแผนยุทธศาสตร์ฟุตบอลระดับชาติ พร้อมตั้งเป้าให้จีนเป็นชาติมหาอำนาจด้านฟุตบอลของโลกภายในปี 2050
  • การลงทุนที่เกินตัว การเร่งหาความสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น และวิกฤตโควิด-19 นำมาสู่ปัญหาทางการเงินของฟุตบอลจีน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า จีนคือหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกยุคปัจจุบันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี แต่อย่างไรก็ตาม จีนกลับไม่ใช่มหาอำนาจด้านกีฬาเท่าที่ควร โดยเฉพาะ ฟุตบอลทีมชาติจีน

ล่าสุดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 ที่กาตาร์ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. ถึง 18 ธ.ค. 2022 นี้ จะไม่มีจีนเข้าร่วมการแข่งขันเนื่องจากตกรอบคัดเลือกโซนเอเชียไปก่อนหน้านี้แล้ว

วันนี้พี่ทุยจึงมาฉายภาพให้เห็น โดยเริ่มต้นจากความเป็นชาติมหาอำนาจในด้านต่าง ๆ และมาร่วมค้นหาสาเหตุไปพร้อมกันว่า ทำไมประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ถึงล้มเหลวในฟุตบอลโลก?

จีน ประเทศมหาอำนาจ ในด้านไหนบ้าง?

จีนนั่นนับเป็นประเทศใหญ่ ที่ทรงอิทธิพลในหลาย ๆ ด้านบนเวทีของโลกใบนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุน การทหาร รวมถึงตัวเต็งในกีฬาโอลิมปิก

ด้านเศรษฐกิจ: จีน มหาอำนาจด้านเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของเอเชีย และเบอร์ 2 ของโลก

องค์การการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ณ สิ้นปี 2022 เศรษฐกิจโลกจะมีมูลค่าแตะ 100 ล้านล้านดอลลาร์ โดย GDP จีนจะมีมูลค่าราว 18 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 18% ของ GDP โลก โดยยังรักษาการเป็นเบอร์ 1 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียเหนือญี่ปุ่นต่อไป และยังเป็นเบอร์ 2 ของโลก ต่อจากสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ก็มีการคาดการณ์กันว่า แม้เศรษฐกิจในช่วงนี้จะซึมไปบ้าง แต่หากสามารถกลับมารักษาระดับการเติบโตตามเป้าของรัฐบาลจีนที่ 5.5% ตลอดอีก 10 ปีข้างหน้า และเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยและเติบโตต่ำต่อเนื่องประมาณ 1.0% ต่อปี จะทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 แซงหน้าสหรัฐฯ ได้อย่างน้อยภายในปี 2030

ด้านประชากร: จีน ต้นแบบการแก้จน พร้อมเลื่อนขั้นเป็นประเทศร่ำรวยในอนาคต

องค์การสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2022 ประชากรโลกจะมีจำนวนทะลุ 8,000 ล้านคน โดยที่จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดราว 1,450 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของประชากรโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะจีนคือประเทศที่มีจำนวนจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกมาตลอดร่วม 300 ปีที่ผ่านมา

แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ คือ ด้วยจำนวนคนมหาศาลขนาดนี้ จีนถือเป็นประเทศต้นแบบของนโยบายแก้จนที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1986 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดคนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท

สิ่งที่จีนทำไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่ลงไปแก่ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและทำต่อเนื่อง ด้วยการให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ การสอนและการส่งเสริมให้คนจีนชนทบทรู้จักใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการทำการเกษตร

ผลที่ตามมา คือ ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี จีนมีประชากรที่หลุดพ้นความยากจนแล้วกว่า 700 ล้านคน ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหวั (GDP per Capita) เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว ส่งผลให้จีนก้าวจากประเทศรายได้ต่ำ สู่ประเทศรายได้ปานกลางในปัจจุบันที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวราว 12,000 ดอลลาร์ และเข้าใกล้ที่จะเลื่อนขั้นเป็นประเทศร่ำรวยมากขึ้นทุกที

ด้านการค้า: จีน ประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก

ในอดีตจีนขึ้นชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก ด้วยต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมาก และส่งออกไปทั่วโลกด้วยราคาที่ถูก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของเล่น รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ

แต่ภาพในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไป จากโรงงานของโลกที่คอยรับจ้างผลิตสู่ผู้กำหนดการผลิตสินค้าเองที่มีความไฮเทคมากขึ้นทั้ง ชิป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนสินค้าวัตถุดิบที่ส่งออกไปกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคส่งออกของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และกลายเป็นผู้ส่งออกสินค้าอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน แซงหน้าทั้งสหรัฐฯ และเยอรมนี

ด้านการลงทุน: จีน นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโลก

หนึ่งในเหตุสำคัญที่ทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกและมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก นั่นคือ จีนให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาอย่างต่อเนื่อง

โดยเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในด้านการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการมีนักวิจัยและการจดสิทธิบัตรด้าน AI สูงกว่าประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลกหลายช่วงตัวทั้งสหรัฐฯ เยอรมนี และอิสราเอล

ขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์อย่าง Belt & Roal Initiative (BRI) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2013 และจะสิ้นสุดโครงการในปี 2049

โดยตลอดช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนโครงการ BRI ไปแล้วด้วยเม็ดเงินมหาศาลถึง 9.3 แสนล้านดอลลาร์ การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 50% ซึ่งโครงการดังกล่าวจะครอบคลุม 147 ประเทศทั่วโลก ทั้งในแอฟริกา ยุโรป และเอเชีย 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า จีนไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลงทุนรายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อครองความเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริงในอนาคต

ด้านธุรกิจและการเงิน: จีน ผู้เขย่าวงการธุรกิจและการเงินของโลก

หากเรียงลำดับธุรกิจที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap.) มากที่สุดในโลก 50 อันดับแรก พบว่า ในปัจจุบันมีธุรกิจจีนที่ติด Top50 แรกของโลกอยู่ถึง 4 บริษัท ได้แก่ Tencent, Kweichow Moutai, ICBC และ Alibaba ในช่วงก่อนหน้าที่เศรษฐกิจจีนเติบโตดี ธุรกิจบางรายเคยขึ้นไปติด Top10 ของโลกมาแล้ว

แม้ในระยะหลัง ธุรกิจจีนอาจมีมูลค่าตลาดลดลงมาบ้างจากปัญหาภายในประเทศ แต่การใช้ชีวิตของเราในทุกวันนี้ผูกพันใกล้ชิดกับธุรกิจจีนกันแทบทั้งสิ้น ทั้งผลิตภัณฑ์จากจีน และการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เงินหยวนมีบทบาทในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก สะท้อนได้จาก สัดส่วนในตะกร้าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของโลกที่เป็นเงินหยวนเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 3% ภายในเวลาเพียง 5 ปี รวมถึงการใช้เงินหยวนเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน

แม้ขนาดจะยังเทียบไม่ได้กับสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร และปอนด์ แต่ในยามที่ทั่วโลกเกิดความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และเริ่มแบ่งขั้วชัดเจนขึ้น ก็อาจจะยิ่งเพิ่มบทบาทเงินในหยวนในตลาดโลกได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ด้านท่องเที่ยว: จีน นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก

ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่ใดหรือประเทศใดก็ตาม ล้วนแต่มีนักท่องเที่ยวจีนแทรกซึมอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ทั้งนี้ ในปี 2019 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจโลกได้ถึง 10% โดยนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากที่สุดในโลกกว่า 160 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวโลกมากที่สุด และมากกว่าอันดับ 2 อย่างสหรัฐฯ 2 เท่า และอันดับ 3 อย่างอินเดียถึง 4 เท่า

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดโควิด-19 รัฐบาลจีนใช้นโยบาย Zero-COVID ทำให้คนจีนออกนอกประเทศไม่ได้ ซึ่งการที่โลกปราศจากนักท่องเที่ยวจีน ไม่เพียงแต่ส่งผลให้หลายธุรกิจขาดรายได้และคนที่ทำงานอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอันต้องตกงานเท่านั้น แต่ยังทำให้รายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกหายไปเกือบ 70% จนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ GDP โลกติดลบอย่างรุนแรง

ด้านการทหาร: จีน กองกำลังพลที่มากที่สุดในโลก

จากการจัดอันดับความแข็งแกร่งด้านการทหาร (Military Strength) จาก GlobalFirepower พบว่า แม้จีนจะเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งด้านการทหารอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และรัสเซีย แต่เมื่อวัดด้วยกองกำลังพล คงไม่มีกองทัพใดในโลกเทียบเคียงจีนได้ ด้วยบุคลาการทางการทหารกว่า 2 ล้านนาย ขณะที่สหรัฐฯ มีประมาณ 1.4 ล้านนาย

ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันมีความอ่อนไหวสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกองกำลังของทั้งสองประเทศแล้ว พบว่า กองทัพจีนมีพลังเหนือกว่ากองทัพไต้หวันหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนรถถังและปืนใหญ่ของจีนที่มากกว่าไต้หวัน 5 เท่า เครื่องบินรบมากกว่า 4 เท่า กองเรือรบมากกว่า 7 เท่า

รวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนาน ก็พบว่า กองทัพจีนมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าญี่ปุ่นอยู่หลายขุมเลยทีเดียว

ด้านกีฬา: จีน ชาติยิ่งใหญ่ในโอลิมปิก

จีนเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิกมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ โอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2008 ณ กรุงปักกิ่ง และโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2022 ณ กรุงปักกิ่งเช่นเดียวกัน ทำให้เมืองหลวงของจีนแห่งนี้เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของโลกในตอนนี้ที่ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกถึง 2 ครั้ง

แม้จีนจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกน้อยกว่าสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 4 ครั้ง และญี่ปุ่น 2 ครั้ง แต่ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจด้านกีฬาโอลิมปิกไม่แพ้ชาติใดในโลก ด้วยการคว้าเหรียญรางวัลรวมสูงสุดติด Top3 ทุกครั้ง และขึ้นมาเป็นจ้าวเหรียญทองได้ 1 ครั้ง

ในปี 2008 โดยเฉพาะว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก เทเบิลเทนนิส แบดมินตัน และยิมนาสติก ที่นักกีฬาจีนจะเป็นตัวเต็งและความเหรียญรางวัลได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมาโดยตลอด

สรุปความเป็นชาติมหาอำนาจของจีน
ด้านเศรษฐกิจ>> เศรษฐกิจเบอร์ 1 ของเอเชีย และเบอร์ 2 ของโลก
ด้านประชากร>> ต้นแบบการแก้จน และเตรียมเลื่อนขั้นเป็นประเทศร่ำรวย
ด้านการค้า>> ผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก
ด้านการลงทุน>> นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโลก
ด้านธุรกิจและการเงิน>> ผู้เขย่าวงการธุรกิจและการเงินของโลก
ด้านท่องเที่ยว>> นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านการทหาร>> กองกำลังพลมากที่สุดในโลก
ด้านกีฬา>> ชาติยิ่งใหญ่ในโอลิมปิก

แต่ ฟุตบอลทีมชาติจีน ผ่านเข้ารอบบอลโลกได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น

เป็นที่น่าแปลกใจอย่างมากสำหรับชาติมหาอำนาจอย่างจีน ที่มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นตัวเต็งในหลายชนิดกีฬาโอลิมปิก 

เห็นได้จาก นักกีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาจากกีฬาชนิดอื่นแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Lin Dan (หลิน ตัน) อดีตนักแบดมินตันมือ 1 ของโลก เจ้าของแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิกอย่างละ 2 สมัย Zhu Ting (จู ถิง) นักวอลเลย์บอลสาวชาวจีน ที่ช่วยให้วอลเลย์บอลทีมชาติจีนคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ 1 สมัย

แต่ในรอบเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา จีนผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้นในปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม ผลการแข่งขันครั้งแรกและครั้งเดียวของจีนในครั้งนี้ จีนแพ้รวดทั้ง 3 นัด ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย ยิงประตูคู่แข่งไม่ได้และเสียประตูถึง 9 ลูก ขณะที่ล่าสุด ฟุตบอลโลกปี 2022 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ กาตาร์ จีนก็ตกรอบคัดเลือกโซนเอเชียไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ฟุตบอลทีมชาติจีน มีปัญหาเชิงโครงสร้าง และการทุจริตคอร์รัปชั่น นำพามาสู่ความล้มเหลว

หากย้อนกลับไปช่วงก่อนที่จีนเข้ารอบฟุตบอลโลกในปี 2002 นับเป็นช่วงเวลาที่กระแสฟุตบอลจีนกำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จากการค่อย ๆ พัฒนาฟุตบอลลีกในประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นช่วงที่นักฟุตบอลจีนระดับทีมชาติทยอยออกไปค้าแข้งต่างแดนมากขึ้น

เมื่อถึงเวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ นักฟุตบอลจีนที่ค้าแข้งอยู่ต่างประเทศสามารถช่วยยกระดับคุณภาพของทีมโดยรวมให้ดีขึ้น และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมชาติจีนคว้าอันดับ 4 ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียในปี 2000 ความสำเร็จในระดับทวีปต่อยอดมาถึงการผ่านเข้าไปแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2002

อย่างไรก็ตาม เคยมีนักวิเคราะห์ด้านกีฬาออกมาบอกถึงสาเหตุที่จีนเข้ารอบฟุตบอลโลกในครั้งนั้นว่า เป็นเพราะ 2 ชาติชั้นนำของเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เข้ารอบอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพ ทำให้ตัดคู่แข่งแย่งโควต้าไปถึง 2 ทีม ฉะนั้น จากเหตุผลนี้จึงพอบอกได้ว่า การเข้ารอบฟุตบอลโลกของจีนเกิดขึ้นเพราะความเฮง + เก่งเล็กน้อย แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านฟุตบอลจีนกลับยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรจะเป็น

ความล้มเหลวของฟุตบอลจีนมีหลายสาเหตุ จุดเริ่มต้นของหนีไม่พ้นการมุ่งเน้นเฉพาะการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาด้านวิชาการเป็นสำคัญ

ขณะที่โรงเรียนกีฬาเฉพาะฟุตบอลยังมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนกีฬาที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในโอลิมปิกมากกว่า เช่น วอลเลย์บอล แบดมินตัน ยิมนาสติก เป็นต้น ฉะนั้น ผู้ปกครองที่มีรายได้ไม่เยอะ จึงไม่อยากเสี่ยงกับฟุตบอล และพาเด็ก ๆ ไปเรียนกีฬาชนิดอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสในความสำเร็จและเงินทองที่มากกว่า

อย่างไรก็ตาม จีนก็เหมือนกับอีกหลายประเทศที่ยังพัฒนาฟุตบอลต่อเนื่อง แต่สาเหตุหลักที่ทำให้ฟุตบอลจีนล้มเหลวในช่วง 20 ปีหลังมานี้ นั่นคือ การทุจริตคอร์รัปชั่น การล้มบอล และการพนันบอลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังและได้ลุกลามไปทั่วทั้งวงการ ด้วยความหวังของเจ้าของสโมสรที่อยากจะประสบความสำเร็จแบบผิดวิธี

ผลที่ตามมา คือ กลุ่มทุนที่เป็นผู้สปอนเซอร์หลักหลายบริษัทรีบถอนทุนและถอนตัวทันที สถานีโทรทัศน์งดการถ่ายทอดสดการแข่งขัน เป็นผลให้รายได้ของสโมสรหดหายอย่างมหาศาล จนกลายเป็นยุคมืดของฟุตบอลจีน

สุดท้ายประธานาธิบดีสมัยนั้นอย่าง หู จิ่นเทา เข้ามาแก้ไขทั้งการปรับกลยุทธ์และวางแผนการบริหารสมาคมฟุตบอลจีนใหม่ รวมถึงเปิดโอกาสและตบรางวัลให้ประชาชนที่เข้ามาแจ้งเบาะแสหากพบเจอการล้มบอล

สี จิ้นผิง ผู้นำที่คลั่งไคล้ฟุตบอล ประกาศแผนยุทธศาสตร์ ยกระดับ ฟุตบอลทีมชาติจีน

ต่อมา สี จิ้นผิง ได้ขึ้นประธานาธิบดีจีนตั้งแต่ปี 2013 ถึงปัจจุบัน และเป็นผู้นำที่ว่ากันว่าคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลมากที่สุดคนหนึ่ง เขาได้เคยกล่าวความฝันเกี่ยวกับฟุตบอลจีนไว้ 3 ข้อ คือ

1) ต้องการเห็นจีนผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกอีกครั้ง

2) เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก

และ 3) คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก

ความฝันของผู้นำท่านนี้ นำมาสู่การประกาศแผนยุทธศาสตร์ฟุตบอลระดับชาติและเริ่มวางแผนอย่างจริงจังเพื่อผลักดันให้จีนก้าวขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจด้านฟุตบอล หรื World Football Superpower ให้ได้ภายในปี 2050

แผนดังกล่าว จะส่งเสริมให้ประชาชนชาวจีนทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างน้อย 50 ล้านคน หันมาสนใจและเล่นกีฬาฟุตบอล สร้างศูนย์ฝึกสอนฟุตบอลอย่างน้อย 20,000 แห่ง และสร้างสนามฟุตบอลอีก 70,000 แห่งทั่วประเทศ

รวมถึงกำหนดโรงเรียนทุกแห่งต้องกำหนดให้ฟุตบอลอยู่ในหลักสูตรในวิชาพละศึกษา พร้อมทั้งสร้างโรงเรียนที่เน้นเฉพาะด้านฟุตบอลจาก 5,000 เป็น 50,000 แห่ง ภายในปี 2025

สนามฟุตบอลในชิงเต่า

การปฏิรูปครั้งใหญ่ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ วงการฟุตบอลจีนกลับมามีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หลังจากอยู่ใต้อำนาจมืดมาอย่างยาวนาน ฟุตบอลจีนกลับมาเป็นที่นิยมและเติบโตอีกครั้งจนบริษัทชั้นนำระดับโลกหลายแห่งกลับเข้ามาร่วมทุนและเป็นสปอนเซอร์ให้แต่ละสโมสรอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ทางสมาคมฟุตบอลจีนก็ได้ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลดึงสุดยอดโค้ชฟุตบอลชาวอิตาเลียนอย่าง Marcello Lippi ที่เคยพาทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วในปี 2006 รวมถึงเหล่าบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่เริ่มทุ่มเงินซื้อนักเตะฝีเท้าดีพร้อมให้ค่าเหนื่อยมหาศาล บางรายกลายเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวและค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลก

ฟุตบอลทีมชาติจีน กับ การลงทุนที่เกินตัว เร่งหาความสำเร็จ นำมาสู่ปัญหาทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลระดับทีมชาติที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลกได้จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลและต้องใช้เวลาสร้างรากฐานพอสมควร แต่ด้วยการเร่งเห็นความสำเร็จเร็วเกินไป ในที่สุดวงการฟุตบอลจีนเกิดปัญหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การล้มบอล แต่เป็นปัญหาทางการเงินของแต่ละสโมสร ที่มีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ จากการที่ทุ่มเม็ดเงินลงทุนที่เกินตัวไปในช่วงก่อนหน้านี้

โดยในปี 2016 ค่าใช้จ่ายของสโมสรในจีนโดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่าประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มากถึง 3 และ 10 เท่า ตามลำดับ จนฐานะการเงินของสโมสรในลีกสูงสุดของจีนขาดทุนรวมกันมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์

ด้วยการบริหารประเทศในแบบของจีน ทางสมาคมฟุตบอลจีนจึงเข้ามาควบคุมฐานะทางการเงินของสโมสร ด้วยการจัดเก็บภาษีสำหรับนักเตะต่างชาติ กำหนดเพดานค่าเหนื่อย รวมถึงตัดชื่อบริษัทต่างชาติที่เป็นสปอนเซอร์ออกจากชื่อสโมสรและหน้าอกเสื้อ ด้วยคำอ้างที่ว่า เป็นการป้องกันไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ ส่งผลให้แต่ละสโมสรต้องลดเงินเดือนนักฟุตบอลตัวเองหลายเท่า นักฟุตบอลต่างชาติที่มีชื่อเสียงเริ่มตบเท้าออกจากสโมสรกันทีละคนสองคน

ปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ถูกซ้ำเติมหนักไปอีกจากวิกฤตโควิด-19 จนฤดูกาลการแข่งขันประจำปี 2021 สโมสรจีนเกือบครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 16 ทีม ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนนักเตะได้ และมีหลายสโมสรจำเป็นต้องถอนทีมออกจากการแข่งขันในที่สุด

สุดท้าย ความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลก หรือการเป็นแชมป์กีฬาระดับโลก จะไม่ได้มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยตรง

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศปราศจากพฤติกรรมการทุจริต การล้มบอล การพนันบอลไม่เร่งค้นหาความสำเร็จในเวลาอันสั้น สร้างกระแสความนิยมในแนวทางที่ถูกต้อง โปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับสายตานักลงทุนต่างชาติ

สิ่งที่ได้มา นั่นคือ โอกาสทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินค่าโฆษณา การขายอุปกรณ์และของชำร่วย หรือทำให้เมืองกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

แม้ฟุตบอลโลกครั้งนี้จะไม่มีชาติมหาอำนาจอย่างจีนเข้าร่วมการแข่งขัน แต่พี่ทุยอยากชวนทุกคนร่วมชมร่วมเชียร์ทีมที่ตนเองชื่นชอบ เพราะการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2022 นี้ จะถูกจัดขึ้นในแผ่นดินเอเชียเป็นครั้งที่ 2 และเป็นครั้งแรกในดินแดนตะวันออกกลาง

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile