ทำไมเจ้าภาพฟุตบอลโลก ถึงมีเศรษฐกิจย่ำแย่ในเวลาต่อมา ?

ทำไม เจ้าภาพฟุตบอลโลก ถึงมีเศรษฐกิจย่ำแย่ในเวลาต่อมา ?

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • เจ้าภาพฟุตบอลโลกต้องลงทุนสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามกีฬา ขนส่งสาธารณะ สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร ระบบรักษาความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวก ที่ในบางครั้งใช้งบไปถึง 10,000 ล้านดอลลาร์
  • เจ้าภาพไม่ได้รับผลประโยชน์ทางตรง เพราะค่าตั๋วและสิทธิ์การถ่ายทอดนั้นขึ้นอยู่กับ FIFA อีกทั้งการจัดฟุตบอลโลกสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ในระยะสั้นเท่านั้น ทำให้บางเจ้าภาพ เช่น บราซิล เจอกับเศรษฐกิจตกต่ำหลังจัดฟุตบอลโลก
  • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เจ้าภาพฟุตบอลโลกเศรษฐกิจดีขึ้นไม่ใช่การท่องเที่ยว แต่การมีทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้วจนสามารถบริหารงบให้ไม่กระทบการพัฒนาด้านอื่น ๆ พร้อมคำนึงผลประโยชน์ทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอนาคตได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ช่วงนี้ World Cup หรือ ฟุตบอลโลก 2022 กำลังประชันแข้งกันอย่างเข้มข้น ผลัดกันแพ้ชนะอุตลุด บางทีมก็ชนะอย่างเหนือความคาดหมาย ซึ่ง เจ้าภาพฟุตบอลโลก ปี 2022 นี้ คือ กาตาร์ ประเทศเล็ก ๆ ในตะวันออกกลาง ที่ตอนกาตาร์ได้ตั๋วเป็นเจ้าภาพก็สร้างความรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นกัน

การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกนั่นดีอย่างไร ทำไมใคร ๆ ก็อยากเป็น อย่างที่รู้กันว่าการจัดงานกีฬาระดับโลกขนาดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเม็ดเงินและเศรษฐกิจของประเทศ การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกแต่ละครั้งต้องเตรียมตัวและใช้งบไปเท่าไหร่ รวมถึงสิ่งที่เจ้าภาพเสียไปคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาจริงหรือไม่ วันนี้พี่ทุยเลยจะพาย้อนไปคุยถึงเบื้องหลังเกี่ยวกับเจ้าภาพทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ถ้าทุกคนสงสัยเหมือนกับพี่ทุย เรามาย้อนอดีตเพื่อดูเศรษฐกิจของเจ้าภาพแต่ละครั้งและค้นหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้เลย

เจ้าภาพฟุตบอลโลก มาจากไหน ใครเป็นคนเลือก?

ฟุตบอล ถือเป็นกีฬาที่มีคนนิยมทั้งเล่นและดูมากที่สุดในโลก ในปัจจุบันลีกอาชีพแต่ละลีกต่างสร้างเม็ดเงินเกินพันล้านดอลลาร์  (รายได้มากที่สุดคือพรีเมียร์ลีก 5.3 พันล้านดอลลาร์) มากยิ่งกว่านั้นคือแฟนบอลในแต่ละมุมโลกต่างมีวัฒนธรรมการเชียร์ที่เหนียวแน่นเข้มข้นไม่น้อยหน้ากัน ทำให้รายการ อย่างฟุตบอลโลกที่ 4 ปีจะจัดครั้งหนึ่ง เป็นรายการที่แฟนบอลทั่วโลกให้ความสนใจไม่แพ้โอลิมปิก โดยเฉพาะแฟนบอลของทีมที่ผ่านรอบคัดเลือก

ทำให้ฟุตบอลโลกเป็นรายการที่ทั้งเจ้าภาพและนักลงทุนนำเม็ดเงินกระหน่ำเข้าไปลงทุนเกินพันล้านดอลลาร์ และในช่วงปีหลัง ๆ แตะถึงระดับหมื่นล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ทั้งเงินลงทุน จำนวนคนดู และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ ทำให้หลาย ๆ ประเทศต่างคาดหวังชิงชัยให้ตัวเองเป็นเจ้าภาพบ้าง 

แล้วคราวนี้ เขามีวิธีการเลือกเจ้าภาพจัดงานระดับโลกที่ว่ากันยังไง ?

พี่ทุยขอเกริ่นก่อนว่า การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศมีมาตั้งแต่ปี 1872 ระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ แต่ต่อมาก็เอารายการแข่งขันไปรวมไว้ในโอลิมปิก

คราวนี้ในปี 1904 เกิดสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือที่เราคุ้นเคยในชื่อ FIFA ขึ้นมา ซึ่งมีการ พยายามจัดรายการแข่งขันฟุตบอลแยกจากโอลิมปิก 

จนในปี 1930 ก็เกิดฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยมีอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเหตุผลที่เลือกอุรุกวัย เพราะเป็นแชมป์ฟุตบอลเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยซ้อนในปี 1924 และ 1928

การเลือกเจ้าภาพในครั้งต่อ ๆ มา ตั้งแต่ปี 1934-1966 จะสลับกันระหว่างประเทศในทวีปยุโรป 2 ครั้ง อเมริกาใต้ 1 ครั้ง และวนไปยุโรปอีก 2 ครั้ง ก่อนที่ในปี 1970 จะเริ่มมีอเมริกาเหนือเข้ามาคือ เม็กซิโก

ตั้งแต่ปี 1970-1998 ก็จะวนอยู่ 3 ทวีป แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยุโรปกับอเมริกาเหนือ

คราวนี้ ในปี 2002 ก็เกิดเจ้าภาพในทวีปเอเชียเป็นเจ้าภาพร่วมคือ ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ อีกทั้งปี 2010 ก็มีเจ้าภาพจากแอฟริกาคือ แอฟริกาใต้ และวนไปที่อเมริกาใต้อย่างบราซิลในปี 2014 ส่วนในปี 2018 กลับไปที่ยุโรปคือ รัสเซีย และปี 2022 เป็นเอเชียอย่างกาตาร์นั่นเอง

รายชื่อ เจ้าภาพฟุตบอลโลก ในแต่ละปี

1930 – อุรุกวัย อเมริกาใต้

1934 – อิตาลี ยุโรป

1938 – ฝรั่งเศส ยุโรป

1942 – 1946 ยกเลิกเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2

1950 – บราซิล อเมริกาใต้

1954 – สวิตเซอร์แลนด์ ยุโรป

1958 – สวีเดน ยุโรป

1962 – ชิลี อเมริกาใต้

1966 – อังกฤษ ยุโรป

1970 – เม็กซิโก อเมริกาเหนือ

1974 – เยอรมนีตะวันตก ยุโรป

1978 – อาร์เจนตินา อเมริกาใต้

1982 – สเปน ยุโรป

1986 – เม็กซิโก อเมริกาเหนือ

1990 – อิตาลี ยุโรป

1994 – สหรัฐอเมริกา อเมริกาเหนือ

1998 – ฝรั่งเศส ยุโรป

2002 – ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เอเชีย

2006 – เยอรมนี ยุโรป

2010 – แอฟริกาใต้ แอฟริกา

2014 – บราซิล อเมริกาใต้

2018 – รัสเซีย ยุโรป

2022 – กาตาร์ เอเชีย 

2026 – สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก อเมริกาเหนือ

ในแต่ละครั้ง FIFA จะเป็นแม่งานเลือกเจ้าภาพ โดยจะเลือกก่อนเป็นเจ้าภาพจริงประมาณ 10 ปี เพื่อให้ประเทศที่ถูกเลือกมีเวลาเตรียมตัวก่อนเป็นเจ้าภาพจริงนั่นเอง

โดยประเทศที่ต้องการเป็นเจ้าภาพจะต้องส่งข้อมูลเชิงลึกแบบละเอียดทั้งสภาพการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แนวโน้ม จุดเด่น งบประมาณ แผนการจัดงาน ระบบสุขภาพ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มาตรฐานแรงงาน

รวมถึงแผนที่และผังเมืองที่มีโครงร่างของสนามกีฬา โรงแรม และโรงพยาบาล ให้กับ FIFA ซึ่งจะเอาข้อมูลแต่ละประเทศมาประเมินโดยให้คะแนนสเกลตั้งแต่ 0-5 และเมื่อประเมินแล้วก็จะเอาประเทศที่มีคะแนนเยอะที่สุดเข้าไปคัดรอบสุดท้าย (ซึ่งแต่ละปีก็มีจำนวนไม่เท่ากัน)

ในรอบสุดท้ายจะเป็นการโหวตจากคณะกรรมการของ FIFA 22 คน โดยหากมีหลายประเทศ ก็จะโหวตหลายรอบเพื่อตัดประเทศที่มีผลโหวตน้อยออกไปเรื่อย ๆ

พี่ทุยขอยกตัวอย่างเจ้าภาพล่าสุดของเราในปี 2022 อย่างกาตาร์ ที่ FIFA เริ่มคัดตั้งแต่ปี 2008 โดยมีประเทศที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 5 ประเทศ และมีการโหวตถึง 4 รอบ ดังนี้

ทำไมเจ้าภาพฟุตบอลโลก ถึงมีเศรษฐกิจย่ำแย่ในเวลาต่อมา

เมื่อผลโหวตสิ้นสุดแล้ว FIFA ก็จะประกาศเจ้าภาพที่ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการ โดยเรารู้ว่ากาตาร์จะเป็นเจ้าภาพในปี 2022 ตั้งแต่ปี 2010 ที่ FIFA ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการนั่นเอง

เรียกได้ว่า FIFA ให้เวลาเจ้าภาพอยู่หลายปีเลยทีเดียวก่อนเป็นเจ้าภาพจริง ๆ คราวนี้ในช่วงเวลาเตรียมตัวเมื่อรู้ว่าได้เป็นเจ้าภาพแล้ว ประเทศที่ถูกเลือกต้องทำอะไรต่อไป ทุกคนตามพี่ทุยไปดูกันต่อได้เลย

เป็น เจ้าภาพฟุตบอลโลก ต้องเตรียมตัวยังไง?

แน่นอนว่าหลังถูกเลือกแล้ว ประเทศเจ้าภาพก็ต้องทำตามแผนการจัดงานตามที่เสนอ FIFA ไปในตอนแรก ทั้งการสร้างสนามกีฬาใหม่ ปรับปรุงสนามกีฬาเก่า พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสนามฝึกซ้อม โรงแรม โรงพยาบาล การขนส่งสาธารณะ ฯลฯ ซึ่งจะต้องตรงตามมาตรฐานที่ FIFA ตั้งไว้ รวมถึงจะมีการประเมินจาก FIFA อยู่ตลอด  ที่สำคัญคือ FIFA จะไม่มีงบสนับสนุนให้ ประเทศเจ้าภาพต้องหางบทั้งหมดเอง

เรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้าภาพในแต่ละครั้ง ต้องใช้งบเท่าไหร่ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับฟุตบอลโลก

ทำไมเจ้าภาพฟุตบอลโลก ถึงมีเศรษฐกิจย่ำแย่ในเวลาต่อมา

เราจะเห็นได้เลยว่า เจ้าภาพแต่ละรอบใช้งบแตกต่างกันไปตามปัจจัยในแต่ละปี บางเจ้าภาพต้องใช้งบเยอะเพราะเตรียมความพร้อมหลายอย่าง เช่น กาตาร์ที่ใช้งบถึง 220,000 ล้านดอลลาร์มากกว่าเจ้าภาพครั้งก่อนอย่างรัสเซียเกือบ 20 เท่า! เพราะสร้างแทบยกแผงทั้งสนามกีฬา โรงแรม ศูนย์นวัตกรรม สนามบิน และเครือข่ายรถไฟใต้ดิน ในขณะที่บางเจ้าภาพไม่ต้องใช้งบถึงขนาดนั้นเพราะบางสิ่งบางอย่างพร้อมอยู่แล้ว 

แต่ยังไงก็ตาม การเป็นเจ้าภาพแต่ละครั้งก็ต้องเสียต้นทุนทั้งเงินและเวลาไปพอสมควร แถมหลังจัดงานเสร็จ ประเทศเจ้าภาพก็ต้องแบกรับค่าบำรุงรักษาสถานที่อย่างสนามกีฬาต่ออีก สิ่งที่ได้จากการจัดงานในเวลาเดือนเดียวคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปนับสิบปีหรือไม่ เราจะไปเจาะถึงเศรษฐกิจทั้งก่อนและหลังของเจ้าภาพในแต่ละครั้งเพื่อหาคำตอบกัน

เปรียบเทียบเศรษฐกิจของ เจ้าภาพฟุตบอลโลก

ในส่วนนี้พี่ทุยจะขอยกเจ้าภาพทั้งหมด 8 ครั้ง มาเปรียบเทียบภาพรวมเศรษฐกิจในแต่ละปีทั้งช่วงก่อนเป็นเจ้าภาพและหลังเป็นเจ้าภาพ ดังนี้

เจ้าภาพปี 1994 สหรัฐอเมริกา

เจ้าภาพปี 1994 สหรัฐอเมริกา

ฟุตบอลโลกในปี 1994 จัดขึ้นในวันที่ 17 มิ.ย. – 17 ก.ค. รวมแล้วประมาณ 1 เดือน ซึ่งเจ้าภาพอย่างสหรัฐฯ จัดสนามแข่งขันไว้ 9 เมืองทั่วประเทศ และถือว่าเป็นเจ้าภาพที่ใช้งบลงทุนน้อยที่สุดคือ 500 ล้านดอลลาร์ฯ แต่กลับได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่าเลยทีเดียว

เพราะเมื่อดูจากตารางจะเห็นได้เลยว่าทั้ง GDP และ GDP per Capita ของประเทศไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานก็ลดลงในช่วง 1 ปีก่อนเป็นเจ้าภาพ และในช่วงปีเจ้าภาพและหลังเป็นเจ้าภาพก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แถมเงินเฟ้อก็ลดลงและทรงตัวอยู่ระหว่าง 2-3%

โดยรวมแล้วการเป็นเจ้าภาพของสหรัฐอเมริกาในปี 1994 ถือว่ากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะ GDP per Capita ของคนในประเทศที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังต่อยอดให้เกิดลีกฟุตบอลอาชีพแบบจริงจังขึ้นในสหรัฐอเมริกา จากแต่ก่อนที่ฟุตบอลไม่ได้เติบโตเท่าที่ควรในประเทศนี้

เจ้าภาพปี 1998 ฝรั่งเศส 

เจ้าภาพปี 1998 ฝรั่งเศส 

ฟุตบอลโลกในปี 1998 จัดขึ้นในวันที่ 10 มิ.ย. – 12 ก.ค. รวมแล้วประมาณ 1 เดือน ซึ่งฝรั่งเศสจัดสนามแข่งขันไว้ทั้งหมด 10 เมืองทั่วประเทศ ใช้งบลงทุนไป 2,300 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อดูตัวเลขแล้ว

พี่ทุยคิดว่าการจัดฟุตบอลโลกในปี 1998 ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจของฝรั่งเศส เพราะทั้ง GDP และ GDP per Capita ในปีเจ้าภาพและหลังเจ้าภาพไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนเป็นเจ้าภาพ แต่ก็ไม่ได้ลดลงจนทำให้เศรษฐกิจเสียหาย อีกทั้งส่วนที่ดีคืออัตราการว่างงานลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละปีนั่นเอง

เจ้าภาพปี 2002 ญี่ปุ่น – เกาหลีใต้

เจ้าภาพปี 2002 ญี่ปุ่น - เกาหลีใต้

เจ้าภาพปี 2002 ญี่ปุ่น - เกาหลีใต้

มาในปี 2002 ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมและเจ้าภาพในเอเชียครั้งแรกคือญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ที่จัดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. – 30 มิ.ย. ซึ่งจัดสนามแข่งขันไว้ทั้งหมด 10 เมืองของทั้งสองประเทศ ใช้งบลงทุนรวมกัน 7,000 ล้านดอลลาร์ 

พี่ทุยขอเริ่มที่ญี่ปุ่นก่อน โดยจะเห็นว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่นพีคสุดในปี 2000 แต่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ในปี 2001 2002 และ 2003 ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นเจ้าภาพและหลังเป็นเจ้าภาพ 1 ปี แต่ในปีถัดมาคือ 2004 ตัวเลขทั้ง GDP และ GDP per Capita ก็เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

ต่อมาคือเกาหลีใต้ ที่ทั้ง GDP และ GDP per Capita พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่เป็นเจ้าภาพและหลังเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งอัตราการว่างงานในปีที่เป็นเจ้าภาพก็ลดลงต่ำที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้กระตุ้นเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว แตกต่างจากญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจ กระเตื้องขึ้นใน 2 ปีถัดมาหลังเป็นเจ้าภาพ ซึ่งอาจมีปัจจัยอื่นนอกจากเป็นเจ้าภาพที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้นในช่วงเวลานี้นั่นเอง 

เจ้าภาพปี 2006 เยอรมนี

เจ้าภาพปี 2006 เยอรมนี

ปี 2006 ที่เจ้าภาพคือเยอรมนี จัดขึ้นวันที่ 9 มิ.ย. – 9 ก.ค. ซึ่งจัดสนามแข่งอยู่ 12 เมืองทั่วประเทศ ใช้งบลงทุนไป 4,300 ล้านดอลลาร์ และพี่ทุยคิดว่าเป็นอีกเจ้าภาพที่เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะปีเจ้าภาพและหลังเจ้าภาพอีก 2 ปี ตัวเลข GDP และ GDP per Capita สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า อัตราการว่างงานก็ต่ำลงเรื่อย ๆ

และถึงแม้ในปี 2009 เศรษฐกิจของเยอรมนีจะดรอปลง แต่พี่ทุยคิดว่าส่วนนี้ไม่ใช่ผลกระทบจากฟุตบอลโลก แต่เป็นผลกระทบจากวิกฤตซัพไพร์มที่เกิดขึ้นในปี 2008 มากกว่านั่นเอง

เจ้าภาพปี 2010 แอฟริกาใต้

เจ้าภาพปี 2010 แอฟริกาใต้

ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่เป็นเจ้าภาพจากแอฟริกาครั้งแรกอย่างแอฟริกาใต้ จัดขึ้นวันที่ 11 มิ.ย. – 11 ก.ค. มีสนามแข่ง 9 เมืองทั่วประเทศ และใช้งบลงทุน 3,600 ล้านดอลลาร์ โดยแอฟริกาใต้จะเจอกับปัญหาการว่างงานที่สูงมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเจ้าภาพงานใหญ่ระดับโลก อัตราการว่างงานก็ยังคงตัวอยู่ในระดับ 24% ทั้งในปีเป็นเจ้าภาพและช่วงหลังเป็นเจ้าภาพ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือ GDP และ GDP per Capita โดยเฉพาะในปีเป็นเจ้าภาพ (2010) และหลังเป็นเจ้าภาพ (2011) ที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเชิงบวกแม้อัตราว่างงานจะสูง

เจ้าภาพปี 2014 บราซิล

เจ้าภาพปี 2014 บราซิล เจ้าภาพฟุตบอลโลก

มาในปี 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นวันที่ 12 มิ.ย. – 13 ก.ค. ในสนามแข่ง 12 เมืองทั่วประเทศ ใช้งบลงทุน 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รองจากกาตาร์ และในเคสของบราซิลเราจะเห็นได้เลยว่า การเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้ง GDP และ GDP per Capita ลดลงในปี 2014 2015 2016 และ 2017 แถมอัตราการว่างงานที่ในปีเจ้าภาพลดลงจากปีก่อนหน้า แต่หลังจากนั้นกลับถีบตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในปี 2017 ที่สูงขึ้นกว่าปีเป็นเจ้าภาพ (2014) ถึงสองเท่า แสดงให้เห็นเลยว่าการลงทุนเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ของบราซิลทำให้เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนักในปีถัดๆ มา

เจ้าภาพปี 2018 รัสเซีย

เจ้าภาพปี 2018 รัสเซีย เจ้าภาพฟุตบอลโลก

มาถึงเจ้าภาพครั้งก่อนหน้าในปี 2018 อย่างรัสเซีย ที่จัดขึ้นวันที่ 14 มิ.ย. – 15 ก.ค. จัดสนามแข่งใน 11 เมืองทั่วประเทศ ใช้งบลงทุน 11,600 ล้านดอลลาร์ รองจากกาตาร์และบราซิล ซึ่งในครั้งนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีการถ่ายทอดสดก้าวหน้ากว่าครั้งอื่นๆ มียอดวิวรวมกันของทุกรอบในแต่ละแพลตฟอร์มกว่า 3,500 ล้านวิว และตัวเลขอย่าง GDP และ GDP per Capita ก็สูงขึ้นในปีเจ้าภาพและหลังเจ้าภาพ ซึ่งถือว่าเป็นแง่บวก แต่หากดูในปี 2020 ที่ตัวเลขลดต่ำลง

พี่ทุยคิดว่าคล้ายกับเคสของเยอรมนีในปี 2006 ที่เจอวิกฤตซัพไพร์ม ทำให้เศรษฐกิจในปี 2009 ดรอปลง เจ้าภาพ 2018 อย่างรัสเซีย ก็เจอโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจในปี 2020 ดรอปลงเช่นเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายตัวเลขก็กลับมาสูงขึ้นเหมือนเดิมในปี 2021

ทำไมบางเจ้าภาพ จัดฟุตบอลโลกแล้วเศรษฐกิจแย่ลง?

จากที่พี่ทุยได้ให้ทุกคนดูเศรษฐกิจในภาพรวมของเจ้าภาพ จะเห็นได้เลยว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว เจ้าภาพได้ผลตอบแทนในแง่บวกและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในปีที่เป็นเจ้าภาพและหลังเป็นเจ้าภาพไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา (1994), เกาหลีใต้ (2002), เยอรมนี (2006), แอฟริกาใต้ (2010) และรัสเซีย (2018) หรือบางเจ้าภาพอย่างญี่ปุ่น (2002) ที่ถึงแม้ตัวเลขจะแย่ลงในปีเป็นเจ้าภาพ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดีขึ้นเหมือนเดิม

แต่ก็มีบางเจ้าภาพ ที่เศรษฐกิจดันแย่ลงต่อเนื่องหลายปี นั่นคือ ฝรั่งเศส (1998) และบราซิล (2014) ซึ่งเราจะไปเจาะกันต่อว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

ฝรั่งเศส เจ้าภาพปี 1998

เรียกได้ว่าปี 1998 ถือเป็นปีทองของฝรั่งเศสเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกแล้ว ยังคว้าแชมป์ได้อย่างสวยงามอีกด้วย ซึ่งมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ที่ประเทศ ๆ หนึ่ง จะได้เป็นทั้งเจ้าภาพและแชมป์ในปีเดียวกัน แต่จะเห็นว่าในปีถัด ๆ มา เศรษฐกิจของฝรั่งเศสเริ่มถดถอยลง

ซึ่งพี่ทุยมองว่าการจัดฟุตบอลโลกในปี 1998 มีส่วนที่ทำให้เป็นแบบนี้ เพราะจากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจัดงานกว่า 2,300 ล้านดอลลาร์ฯ นั้น พบว่าถูกหักจากงบของรัฐบาลไปพอสมควร การบริหารประเทศด้านต่าง ๆ ในปีหลังฟุตบอลโลกเลยลำบากมากขึ้น 

อีกตัวแปรหนึ่งคือเรื่องการท่องเที่ยว โดยฝรั่งเศสถือเป็นประเทศท่องเที่ยวที่มีรายได้จากส่วนนี้ถึง 10% ของ GDP ในช่วงเวลานั้น การจัดฟุตบอลโลกแต่ละครั้งก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่ากระตุ้นการท่องเที่ยวของเจ้าภาพได้จริงหรือไม่ เพราะในเคสของฝรั่งเศสในปีที่เป็นเจ้าภาพนั้น บรรดาธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม  ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ร้านกาแฟ ฯลฯ มีการปรับราคาขึ้นแบบเดือนต่อเดือนก่อนแข่งจริง รองรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาชมฟุตบอล

แต่หลังจากแข่งจบแล้วราคาของต่าง ๆ ในหลาย ๆ ที่ก็ไม่ได้ลดลงมาอยู่จุดเดิม หรือบางที่ลดลงแบบช้า ๆ สุดท้ายก็อาจส่งผลให้ปีต่อ ๆ มา รายได้จากนักท่องเที่ยวลดลงไปเพราะของในประเทศแพง ซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจโดยภาพรวมได้นั่นเอง

บราซิล เจ้าภาพปี 2014

หากจะหาเคสตัวอย่างที่การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจในระยะยาวแทน พี่ทุยคิดว่าเรื่องราวของบราซิลนั้นน่าสนใจมาก เพราะเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 บราซิลถูกยกให้เป็นประเทศกลุ่ม BRICS ที่มีกำลังทรัพยากรสูงและสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีชื่อเสียงในเรื่องฟุตบอล คว้าแชมป์ล่าสุดในปี 2002 ทำให้ในปี 2007 FIFA ก็ประกาศให้บราซิลเป็นเจ้าภาพปี 2014 ในที่สุด

อย่างที่พี่ทุยให้ดูไปว่าบราซิลใช้งบลงทุนไปกับงานนี้กว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ฯ สูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รองจากกาตาร์ โดยงบเหล่านี้ใช้ไปกับอะไรบ้าง?

1) 3,600 ล้านดอลลาร์ฯ : สร้างและปรับปรุงสนามกีฬา 12 แห่ง

2) 3,400 ล้านดอลลาร์ฯ : การคมนาคม ถนน ขนส่งสาธารณะ ซึ่งสนามกีฬา 12 แห่ง ตั้งอยู่ใน 12 เมือง ก็ต้องสร้างและปรับปรุงทั้งรถไฟและรถประจำทางเพื่อเชื่อมสนามบินกับสนามกีฬาในเมืองต่างๆ รวมๆ แล้วมีระยะทางกว่า 4,300 กิโลเมตร

3) 2,600 ล้านดอลลาร์ฯ : สนามบิน โดยเหมือนกับข้อ 2 ที่ต้องปรับปรุงเพื่อรองรับ  จำนวนคนที่จะหลั่งไหลเข้ามาใน 12 เมือง

4) 800 ล้านดอลลาร์ฯ : กองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งส่วนนี้เป็นงบบานปลาย ที่พี่ทุยไม่คิดว่าจะสูงมากขนาดนี้ แต่บราซิลถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยต่ำอยู่แล้ว แถมช่วงใกล้แข่งขันก็เกิดม๊อบประท้วงรัฐบาลที่เอางบมาทุ่มกับฟุตบอลโลกมากเกินไป และประท้วง FIFA ที่ตั้งสเปกโครงการต่าง ๆ ทั้งสนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานไว้สูงเกินไป

ความวุ่นวายอีรุงตุงนังก่อนเป็นเจ้าภาพในอีกไม่กี่เดือน ทำให้รัฐยิ่งต้องทุ่มงบมาลงส่วนนี้มากเป็นพิเศษ จ้างทั้งการ์ด หน่วยปราบจราจล กองกำลังทหาร สร้างหุ่นยนต์และระบบจดจำใบหน้าเพื่อให้งานครั้งนี้สงบและปลอดภัยที่สุดนั่นเอง

5) 4,600 ล้านดอลลาร์ฯ : โรงแรม ร้านอาหาร เครือข่ายการติดต่อสื่อสาร สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ

โดยภาพรวมแล้ว ถึงแม้บราซิลจะเป็นประเทศ BRICS ที่มีทรัพยากรเยอะ แต่โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ นั้นเรียกได้ว่า หลายอย่างอาจยังไม่พร้อมสำหรับงานใหญ่ขนาดนี้ ทำให้ในตอนแรกที่รัฐบาลตั้งงบไว้มากสุดอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ฯ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ สุดท้ายงบดันบานปลายเกินกว่าที่คาดไว้ไปมหาศาล และภัยร้ายแรงของจริงก็เกิดขึ้นในปีต่อ ๆ มา

เพราะรัฐบาลยังต้องเอางบมาบำรุงสถานที่อย่างสนามกีฬาที่บางแห่งถูกเปลี่ยนให้เป็นที่จอดรถเพราะไม่มีการใช้งานต่อ และอย่างที่เราได้เห็นกันว่าทั้ง GDP และ GDP per Capita ของบราซิลลดลงไปมากหลังเป็นเจ้าภาพ และพ่วงมาด้วยอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นในแต่ละปี

เรียกได้ว่า ผลประโยชน์ที่บราซิลได้รับในเดือนเดียวนั้น ไม่สามารถหักลบกลบหนี้มหาศาลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนนับ 7 ปีได้เลย และเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ที่บราซิลและประเทศเจ้าภาพในอนาคตต้องเรียนรู้เลยทีเดียว 

เป็น เจ้าภาพฟุตบอลโลก แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่?

การคัดเลือกประเทศเจ้าภาพแต่ละครั้งต้องมีความเข้มข้นและถี่ถ้วนแบบสุด ๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่ FIFA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลือกเจ้าภาพมีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไปจนทำให้ FIFA มองข้ามพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ถูกเลือก แถมยังตั้งมาตรฐานทั้งเรื่องสนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานไว้สูงลิ่วขึ้นทุกปี อย่างที่เราได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบราซิล

ต่อมาคือรายได้จากตั๋วและสิทธิ์การถ่ายทอดต่าง ๆ ส่วนใหญ่นั้น ไม่ได้เข้ากระเป๋าเจ้าภาพ แต่เข้ากระเป๋าของ FIFA อีกทั้งยังมีการกีดกันพ่อค้านักธุรกิจรายย่อยในท้องถิ่นที่มาขายของตามสนามกีฬา เพื่อกันพื้นที่ให้กับสินค้าของสปอนเซอร์เท่านั้น ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดกับประชากรของเจ้าภาพ โดยเฉพาะในเคสของบราซิลที่มีความเข้มในเรื่องความปลอดภัยสูงมาก

ถัดมาคือการท่องเที่ยวที่เราได้เห็นไปในเคสของฝรั่งเศสที่งานฟุตบอลโลกกระตุ้นการท่องเที่ยวได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่เวลาต่อมาฝรั่งเศสต้องเจอกับปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้นจนทำให้การท่องเที่ยวลดลง ซึ่งเจ้าภาพอย่างบราซิลก็พบปัญหานี้ในเวลาต่อมาเช่นกัน

เมื่อเราเห็นข้อเสียที่เกิดขึ้นจากการเป็นเจ้าภาพไปแล้วทั้งงบลงทุนที่บานเบอะ แต่ประโยชน์ที่ได้กลับมาแทบไม่คุ้มค่าเลย ก็อาจเกิดข้อสงสัยต่อไปว่า การเป็นเจ้าภาพกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่?

ซึ่งจากที่พี่ทุยเปรียบเทียบเหล่าบรรดาเจ้าภาพนั้น ส่วนใหญ่ตัวเลขทางเศรษฐกิจดูดีขึ้น แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัดจริง ๆ ว่า ฟุตบอลโลกเป็นปัจจัยสำคัญ อย่างที่เราเห็นนั้นเจ้าภาพทั้งหลายแหล่ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงทั้งค่าตั๋ว สิทธิ์การถ่ายทอด และการท่องเที่ยวระยะยาว แต่ทำไมตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวม ทั้งของสหรัฐอเมริกา (1994), ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (2002), เยอรมนี (2006), แอฟริกาใต้ (2010) และรัสเซีย (2018) จากการเป็นเจ้าภาพถึงดูดีขึ้น พี่ทุยสามารถสรุปได้ ดังนี้

1) มีทรัพยากรหรือโครงสร้างพื้นฐานที่ดี

จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญของเจ้าภาพคือการบริหารเงินลงทุนให้ไม่กระทบงบด้านอื่นๆ ของประเทศ แต่สามารถเนรมิตโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตามมาตรฐานที่ FIFA ตั้งเอาไว้ได้ ยิ่งเจ้าภาพมีโครงสร้างที่พร้อมอยู่แล้วในด้านใดด้านหนึ่งก็สามารถลดงบลงทุนให้น้อยลงตามไปด้วยได้นั่นเอง เช่น

–  เยอรมนี มีพื้นฐานเรื่องลีกฟุตบอลขนาดใหญ่อยู่แล้ว เลยค่อนข้างพร้อมเรื่องสนามในระดับหนึ่ง

สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ถึงแม้ไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องลีกฟุตบอล แต่มีทรัพยากรทั้งเงินทุนและแรงงานมาทดแทน

ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่อาจไม่มีลีกฟุตบอลขนาดใหญ่หรือทรัพยากรมาก แต่การตัดสินใจเป็นเจ้าภาพร่วมก็สามารถลดต้นทุนที่ประเทศเดียวจะแบกรับเอาไว้ได้ เพราะมีอีกประเทศมาแบกร่วมกัน

แอฟริกาใต้ พี่ทุยคิดว่าเจ้าภาพเคสนี้น่าสนใจมากในการบริหารเงินลงทุน เพราะแอฟริกาใต้ไม่ได้มีทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเหมือนกับประเทศด้านบน แถมเจอปัญหาเดียวกับบราซิลอย่างการประท้วงรัฐบาลกับ FIFA เพราะเงินลงทุนกระทบส่วนอื่นของประเทศ

แต่สุดท้ายสามารถทำตามมาตรฐาน FIFA ได้โดยใช้งบน้อยกว่าบราซิลถึง 5 เท่า แถมมาด้วยตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมที่ไม่ดิ่งลง โดยเหตุผลนี้จะเกี่ยวพันกับข้อต่อไป

2) ผลประโยชน์ทางอ้อมที่ได้จากการเป็นเจ้าภาพ

ผลประโยชน์ทางตรงทั้งค่าตั๋วและสิทธิ์การถ่ายทอดนั้นล้วนตกอยู่กับ FIFA อีกทั้งการท่องเที่ยวนั้นยังเป็นผลประโยชน์ระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลเสียในเวลาต่อมากับบางประเทศได้ ดังนั้น พี่ทุยคิดว่าสิ่งที่เจ้าภาพจะได้ และต้องคำนึงถึงรองจากงบลงทุนคือผลประโยชน์ทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งที่เห็นได้ชัด ๆ เช่น

– สหรัฐอเมริกา อย่างที่พี่ทุยเคยบอกไปว่าฟุตบอลไม่ได้นิยมในสหรัฐอเมริกา เพราะมีเสาหลักใหญ่ที่เป็นลีกอาชีพอย่างอเมริกันฟุตบอล (NFL), บาสเกตบอล (NBA), เบสบอล (MLB), และฮ็อกกี้น้ำแข็ง (NHL) อยู่ แต่จากการเป็นเจ้าภาพในปี 1994 ทำให้สหรัฐฯ ใช้โอกาสนี้สร้างลีกฟุตบอลอาชีพในประเทศขึ้นมาคือ “เมเจอร์ลีก (Major League Soccer)” ในปี 1993 และผลตอบรับจากฟุตบอลโลกก็ทำให้เมเจอร์ลีกเติบโตในปีต่อๆ มา บรรดาสนามกีฬาที่ทุ่มทุนสร้างและปรับปรุงก็ยังคงได้ใช้งานต่ออย่างคุ้มค่าต่อไปในอนาคต

– แอฟริกาใต้ ตั้งแต่อดีตเป็นประเทศที่มีปัญหาการเมืองและสีผิวมาโดยตลอด ทำให้มีอัตราอาชญากรรมค่อนข้างสูงและมีภาพลักษณ์เป็นประเทศอันตราย แต่หลังจากที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2010 มีการสำรวจออกมาว่าสังคมแอฟริกาใต้เกิดความเหนียวแน่นกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

แถมภาพลักษณ์ของประเทศเริ่มเปลี่ยนไปในทางบวกเพราะผลจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับฟุตบอลโลก เรียกได้ว่า การลงทุนในฟุตบอลโลกของแอฟริกาใต้โดยเฉพาะพวกถนน ขนส่งสาธารณะ สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ ไม่ได้ลงทุนเพื่อฟุตบอลโลกอย่างเดียว แต่ใช้ต่อยอดไปสู่อนาคตของประเทศในปีต่อ ๆ ไปอีกด้วย

มาถึงตรงนี้แล้วเรียกได้ว่าการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกนั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องแบกทั้งความรับผิดชอบ งบลงทุน และภาระทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนั้น ต้องมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของตัวเอง อย่างรอบด้านสุด ๆ ว่าจะได้อะไรบ้างจากการเป็นเจ้าภาพ และสิ่งที่ได้นั้นคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไปแค่ไหน ซึ่งแต่ละเจ้าภาพนั้นก็มีปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน

สุดท้ายพี่ทุยสนใจมากว่าเจ้าภาพปัจจุบันของเราในปี 2022 อย่างกาตาร์ ที่เป็นเจ้าภาพในเอเชียครั้งที่สอง และเป็นเจ้าภาพจากตะวันออกกลางครั้งแรก ซึ่งเรียกได้ว่ามีปัจจัยแวดล้อมทางลบทั้งสภาพอากาศและโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงในเรื่องงบลงทุนระดับ 220,000 ล้านดอลลาร์ โดยเราคงต้องมองดูกันต่อไปในอนาคตว่างานในกาตาร์ครั้งนี้จะตามรอยบราซิลหรือจะได้รับผลประโยชน์คุ้มค่ากับที่ลงทุนไป

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile