ปี 2024 นี้ ทองคำราคาขึ้นสูงเรื่อย ๆ ทำลายสถิติสูงสุดใหม่ไปหลายครั้ง จนล่าสุดก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็เคยไปเฉียด 2,800 ดอลลาร์ แต่พอผลการเลือกตั้งออก ผลปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะและเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ราคาทองคำก็ร่วงลงทันที ประมาณ -3% ตกลงมาที่ราคาแถว 2,658 ดอลลาร์ (สวนทางบิทคอยน์ที่พุ่งทำ All Time High) แล้วทำไมทรัมป์มา ทองคำราคาร่วง ล่ะ?
แล้ววันนี้พี่ทุยก็ถือโอกาสวิเคราะห์แนวโน้มทองคำในระยะสั้นและระยะกลางข้างหน้า หลังทรัมป์มาดำรงตำแหน่งแล้ว จะเป็นยังไงบ้าง พร้อมวิเคราะห์ด้วยว่าทองบาทละ 60,000 จะถึงหรือไม่?
ที่ผ่านมาทองคำขึ้นมาเพราะปัจจัยอะไรบ้าง?
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2024 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,758.52 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ก็พุ่งขึ้นมาแตะระดับสูงสุดตลอดกาล 43,950 บาท ทุกคนคงสงสัยกันว่าทำไมราคาทองคำถึงขึ้นมาได้ขนาดนี้? พี่ทุยขอสรุปว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
- ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 เมื่อกลุ่มฮามาสเปิดฉากข้ามแดนบุกอิสราเอล จากนั้นความรุนแรงก็ขยายวงกว้างไปสู่การปะทะกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทางตอนใต้ของประเทศเลบานอน และในที่ก็มีการโจมตีโดยตรงด้วยขีปนาวุธระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
สถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ซึ่งมีโอกาสที่จะขยายวงลุกลาม รวมไปถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมจะออกได้ทุกหน้า ซึ่งผู้ท้าทั้งสองฝ่ายต่างมีนโยบายต่างประเทศที่ต่างกัน ดังนั้นนักลงทุนเลยมองหาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในช่วงที่ความไม่แน่นอนยังสูง
- ดอกเบี้ยโลกเข้าสู่แนวโน้มขาลง
แม้จะมีหลายธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยแล้วตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา แต่นักลงทุนต่างยังไม่แน่ใจว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาลงหรือไม่ และจับตามองสัญญาณการเข้าสู่แนวโน้มขาลงอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เป็นธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดของโลก
ซึ่งในที่สุด Fed ก็ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกแล้วเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เริ่มต้นวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอย่างเป็นทางการ (ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยตามทันทีในเดือน ต.ค.)
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายปันผลหรือกระแสเงินสดให้ผู้ถือครอง แตกต่างจากเงินสดที่เมื่อฝากธนาคารยังได้ดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่เปรียบเสมือนผลตอบแทนของเงินสดลดลง นักลงทุนจึงกล้านำเงินสดไปซื้อทองคำมากขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกยังทยอยสะสมทองคำ
ข้อมูลจาก World Gold Council ล่าสุดชี้ว่าในเดือน ส.ค. ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวม 8 ตัน แม้จะน้อยสุดตั้งเดือน มี.ค. แต่ทั้งปีนี้ธนาคารกลางยังเป็นผู้ซื้อสุทธิทุกเดือน
ทองคำราคาร่วง ? หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ราคาทองร่วงลงทันที หลังผ่านไปหนึ่งวัน ร่วงลงประมาณ -3% อยู่ราคาระดับ 2,658 ดอลลาร์
สหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจที่เป็นอันดับ 1 ของโลก ย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ซึ่งทองคำก็ได้รับผลกระทบไปเช่นกัน การที่ทรัมป์มานโยบายกีดกันทางการค้าและขึ้นภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ คาดการณ์ว่าจะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวของทั้ง 2 สิ่งนี้ ในระยะสั้นจะกดดันราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำอาจย่อตัวลงไปอีกสักระยะ ผนวกกับราคาทองพุ่งขึ้นมาสูงมากแล้จากความกังวลด้านสงคราม
ส่วนในระยะยาวราคาทองคำยังน่าสนใจและมีโอกาสปรับตัวขึ้น รับผลดีจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามีโอกาสทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ย และการขาดดุลการคลังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า
ทองคำจะไปถึงบาทละ 60,000 ไหม?
ก่อนอื่นไปดูที่องค์ประกอบราคาทองคำไทยกันหน่อย ส่วนแรกมาจากราคาทองคำโลก และอีกส่วนมาจากค่าเงินบาท
ทีนี้ขอเริ่มกันกับ 1.) จะมีปัจจัยอะไรมาหนุนให้ราคาทองคำโลกไปต่อกันหรือไม่? ตอบเลยว่ายังมี 4 ปัจจัยนี้ คือ
- ความไม่สงบมีโอกาสรุนแรงขึ้น
เหตุการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังไม่มีทีท่าสงบลงในเร็ววัน แถมมีโอกาสขยายวงลุกลาม ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางนโยบายต่างประเทศ พร้อมจุดชนวนความไม่สงบในจุดเปราะบางหลายพื้นที่ทั่วโลก และยังอาจกระทบกับทิศทางนโยบายการคลัง แน่นอนว่าต้องมีผลต่อความไม่แน่นอนของภาคเศรษฐกิจและโลกการเงินไม่มากก็น้อย
- ดอกเบี้ยขาลงและอาจลงมากกว่าคาด
เพียงการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เมื่อเดือน ก.ย. ก็มากพอเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำแล้ว แต่ยังเผยอีกว่าในช่วงที่เหลือของปีอาจลดอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.5% อันนี้เลยกลายเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติมได้อีก
นอกจากนี้ทุกคนอาจต้องลุ้นให้ธนาคารกลางทั่วโลกต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดรับรู้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากเศรษฐกิจอ่อนแอมากเกินไป หรือมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น เมื่อปี 2020 ที่ COVID-19 ระบาด, ปี 2008 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
- ธนาคารกลางเดินหน้าซื้อทองคำ หนีดอลลาร์
ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เป็นประเทศที่เสถียรภาพทางการเงินและค่าเงินรับผลกระทบหนักเมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่า เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนใหญ่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์ ธนาคารกลางประเทศเหล่านี้จึงแก้ปัญหาด้วยการลดสัดส่วนดอลลาร์และเพิ่มสัดส่วนทองคำ
ถามว่าแล้วธนาคารกลางประเทศตลาดเกิดใหม่ซื้อทองคำจริงหรือไม่? คำตอบคือ จริง โดยยอดซื้อทองคำของธนาคารกลางในปีนี้ กว่า 70% มาจากธนาคารกลางประเทศเหล่านี้ และคาดว่าจะยังเดินหน้าสะสมทองคำต่อไป เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศแขวนอยู่กับค่าเงินดอลลาร์มากเกินไป
- แรงซื้อเพื่อการลงทุนผ่าน ETF เริ่มกลับมาแล้ว
บางครั้งการลงทุนผ่านทองคำแท่งอาจไม่สะดวกสำหรับใครหลายคน จึงมีเครื่องมือที่เรียกว่า ETF เป็นอีกทางเลือกเพิ่มเติมโดยเฉพาะนักลงทุนซึ่งมักจะลงทุนทองคำโดยดูจากทิศทางอัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้นมักจะขายทองคำ แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาลงก็จะหันกลับมาซื้อทองคำ
และแล้วเมื่อ Fed นับหนึ่งวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นทางการ นักลงทุนก็หันมาซื้อทองคำ สะท้อนชัดผ่านยอดเงินลงทุนผ่าน ETF ที่กลับมาเป็นซื้อสุทธิช่วงประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. และด้วยวัฏจักรดอกเบี้ยที่เป็นขาลงชัดเจน จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนผ่าน ETF เข้ามาหนุนราคาทองคำเพิ่มเติมอีกในช่วงเวลาต่อจากนี้
ไปต่อกันที่ 2.) ค่าเงินบาทกันหน่อย ซึ่งคงเคลื่อนไหวในกรอบ 32-34 บาทต่อดอลลาร์ ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยยะต่อราคาทองไทยแล้ว เพราะทั้งไทยและสหรัฐฯ ต่างลดอัตราดอกเบี้ย และสภาพเศรษฐกิจต่างก็ไม่น่าเปลี่ยนแปลงมากจนส่งให้เม็ดเงินไหลเข้าออกถึงขนาดกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน
ถามว่าถึง 60,000 บาท ได้ไหม? พี่ทุยคำนวณหาว่าราคาทองคำโลกจะต้องขึ้นไปที่ราคาเท่าไหร่ ราคาทองคำไทยถึงจะแตะ 60,000 บาท ให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 34 บาทต่อดอลลาร์
พบว่าราคาทองคำโลกต้องอยู่ที่ 3,731 ดอลลาร์ หมายความว่าราคาทองคำโลกต้องขึ้นไปอีก 35% ซึ่งระยะสั้นไม่น่าเป็นไปได้ อาจลุ้นได้ประมาณ 5-7% ราคาทองคำไทยก็อยู่ที่ประมาณ 46,400-47,300 บาท แล้วหลังจากนั้นค่อยดูว่าสถานการณ์ปัจจัยกันต่อ
อ่านเพิ่ม