Bill Gross เจ้าของฉายา Bond King เปรียบเสมือน Warren Buffet แห่งวงการ “ตราสารหนี้” เป็นอดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Pacific Investment Management Co. ถ้าใครลงทุนกองทุนตราสารหนี้ก็จะรู้จักเป็นอย่างดีในชื่อ PIMCO
ล่าสุดเปิดเผยมุมมองการลงทุนว่า “ตราสารหนี้กำลังจะไม่ต่างจากขยะแห่งโลกการลงทุน”
โดยกล่าวว่าเงินสดเป็นเหมือนขยะมานานแล้ว แต่ตอนนี้กำลังมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วม ซึ่งก็คือกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและยาว Bill Gross มองว่า Fed จะลดการทำ QE จนเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2022 ซึ่งที่ผ่านมา Fed เป็นผู้ซื้อพันธบัตรออกใหม่กว่า 60% ผ่านมาตรการ QE ดังนั้นนักลงทุนภาคเอกชนไม่น่าจะเป็นเข้ามาเป็นผู้ซื้อทดแทนปริมาณที่หายไปจาก Fed
พอเห็นว่าแรงซื้อพันธบัตรลดลงค่อนข้างมาก ขณะที่ปริมาณพันธบัตรออกใหม่ก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไร เพราะต้องกู้ยืมเพื่อใช้กับมาตรการกระตุ้น Bill Gross จึงบอกว่าอัตราผลตอบแทน (Yield) ต้องขึ้นแน่ ซึ่งคาดว่า Yield ของพันธบัตรอายุ 10 ปี จะขึ้นไปที่ 2% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า (ประมาณเดือน ก.ย. 2022) ส่งผลให้นักลงทุนจะขาดทุนจากราคาที่ลดลง 4-5% และผลตอบแทนรวมจะขาดทุน 2.5-3%
พี่ทุยขออธิบายว่าทำไม Yield ขึ้นแล้วถึงขาดทุนจากราคา แล้วผลตอบแทนรวมที่ก็ขาดทุนด้วยคืออะไร
เมื่อ Yield ขึ้น ราคา “ตราสารหนี้” จะลง
ตราสารหนี้ก็เหมือนหุ้นที่มีตลาดให้นักลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์กัน ซึ่งสำหรับนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ Yield เป็นสิ่งที่สำคัญ หากนักลงทุนในตลาดคาดว่า Yield หรืออัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น จะทำให้ตราสารหนี้ที่มีอยู่ในตลาดมีความน่าสนใจน้อยกว่าตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในอนาคต
หรือนั่นก็คือนักลงทุนลดการซื้อตราสารหนี้ในตอนนี้แล้วไปรอซื้อตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในอนาคตซึ่งจะได้ Yield ที่สูงกว่า ราคาของตราสารหนี้เดิมที่มีอยู่ในตลาดจึงลดลง Bill Gross เลยมองว่านักลงทุนที่มีพันธบัตรอยู่ในพอร์ตตอนนี้จะขาดทุนจากราคาที่ลดลง 4-5%
พี่ทุยสรุปให้ง่ายขึ้นว่าความเคลื่อนไหวของราคาเป็นผลอันเกิดจากกฎแห่งอุปสงค์อุปทาน โดยปัจจุบันนักลงทุนไม่ต้องการซื้อตราสารหนี้ ราคาก็ลง Yield จึงเพิ่มขึ้น
ส่วนผลตอบแทนรวมกลับขาดทุนน้อยลงเพราะผลตอบแทนรวมคิดจาก ราคาที่เปลี่ยนไป บวกกับ yield ที่พันธบัตรจ่ายให้นักลงทุน ซึ่งคาดว่าพันธบัตรที่อยู่ในพอร์ตของนักลงทุนให้ yield ที่ประมาณ 1.5-2% พอเอามารวมกับราคาที่ลดลงก็จะได้ผลตอบแทนรวมที่ขาดทุน 2.5-3%
เงินเฟ้อ ภัยเงียบที่กัดกินมูลค่าเงินทุกวินาที
‘เงินสดเป็นเหมือนขยะมานานแล้ว’ เป็นประโยคที่สะท้อนภัยร้ายที่คอยกัดกินมูลค่าเงินในกระเป๋าของเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็คือ “เงินเฟ้อ” และยิ่งในยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้แล้วตราสารหนี้กำลังเป็นเหยื่อรายต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
สมมติว่าอีก 1 ปีข้างหน้า Yield ขึ้นไปที่ 2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อ Bill Gross มองว่าจะไม่ต่ำกว่า 2% ซึ่งการลด QE น่าจะช่วยบรรเทาได้ พี่ทุยเริ่มลงทุนตราสารหนี้ที่ได้ Yield ประมาณ 2% พอเอามาหักล้างกับเงินเฟ้อเท่ากับว่าแทบไม่ได้ผลตอบแทนเลย ดังนั้นพี่ทุยมองว่าผลตอบแทนรวมที่ Bill Gross บอกว่าจะขาดทุนประมาณ 2.5-3% น่าจะมากกว่านี้เพราะโดนเงินเฟ้อกัดกิน
ซึ่งที่ผ่านมาเงินสดและตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนอันน้อยนิดถูกเงินเฟ้อทำร้ายมาตลอดอยู่แล้ว มากไปกว่านั้นถ้าคิดผลของเงินเฟ้อที่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในตัวเลขอย่างเป็นทางการ เช่น การลดปริมาณสินค้า ยิ่งส่งให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดลงจากผลของเงินเฟ้อมากขึ้นไปอีก
พอเห็นแบบนี้แล้วพี่ทุยมองว่าเงินเฟ้อเป็นศัตรูอันดับ 1 ของเงินลงทุนทุกคน และน่าจะอยู่กับเราไปอีกนาน
จัดพอร์ต Asset Allocation เพิ่มหุ้น ลดตราสารหนี้
โดยรวมแล้วทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น กลาง และยาวจะมีผลตอบแทนรวมติดลบจากผลของ Yield ที่ขึ้น แต่ถ้าลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนตัดสินใจซื้อขายตราสารหนี้ก็ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ซึ่งเมื่อหักลบอัตราเงินเฟ้อไปด้วยแล้วผลตอบแทนอาจแทบไม่เหลือเลย
พี่ทุยคิดว่าการจัดพอร์ตตามหลักการ Asset Allocation เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากเพื่อให้เงินลงทุนไม่กระจุกตัวในสินทรัพย์ใดมากเกินไป โดยสามารถปรับสัดส่วนยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ เช่น เมื่อรู้ว่าทิศทาง Yield กำลังขึ้นส่งผลเสียต่อตราสารหนี้ก็ต้องลดสัดส่วนกองทุนตราสารหนี้ให้น้อยลง และไปเพิ่มในส่วนของหุ้นเติบโตระยะยาว เช่น เทคโนโลยี หรือ Healthcare ที่ต้านทานต่อสภาวะที่ Yield เป็นขาขึ้น