กลายเป็นว่าสงครามอิสราเอล-ฮามาส อาจจะไม่จบลงในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทำให้คนทั้งโลกหนาว ๆ ร้อนไม่น้อย เพราะถ้าสงครามบานปลาย จนประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเข้าสู่สงครามด้วย ก็อาจจะนำไปสู่ ราคาน้ำมันสูงขึ้น เพราะตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคหลักของโลกที่ผลิตน้ำมันส่งออกให้ประเทศทั่วโลก วันนี้ พี่ทุยก็เลยอยากชวนทุกคนมาวิเคราะห์ทิศทาง ราคาน้ำมัน ปี 2024 กันว่า หลังจากสงครามอิสราเอล-ฮามาส เกิดขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันในอนาคตจะเป็นเช่นไร
ย้อนประวัติศาสตร์สงครามปี 1973 ที่มาวิกฤติพลังงานโลก
สาเหตุที่เราต้องมาห่วงเรื่องราคาน้ำมัน เมื่อสงครามอิสราเอล-ฮามาสเกิดขึ้น เพราะมีบทเรียนที่น่าสนใจเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 50 ปีก่อน จากสงครามยมคิปปูร์ หรือสงครามตุลาคม วันที่ 6-25 ต.ค. 1973 ซึ่งเป็นสงครามระหว่างแนวร่วมรัฐอาหรับสู้รบกับอิสราเอล
ในครั้งนั้น อียิปต์และซีเรีย เป็นผู้นำโจมตีอิสราเอล บริเวณคาบสมุทรไซนาย และที่ราบสูงโกลัน ดินแดนที่ถูกอิสราเอลยึดครองไปตั้งแต่ปี 1967 ซึ่งผลก็คืออิสราเอลชนะ
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนั้น ชาติอาหรับซึ่งเป็นประเทศสมาชิกขององค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) นำโดยซาอุดีอาระเบีย ออกมาตรการคว่ำบาตรไม่ส่งน้ำมันให้ประเทศที่เป็นแนวร่วมให้ความช่วยเหลืออิสราเอลในการรบ โดยเป้าหมายสำคัญกลุ่มแรก คือ สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ จากนั้นก็ขยายเพิ่มเติมไปยัง โปรตุเกส โรดีเซีย (ซิมบับเว ในปัจจุบัน) และแอฟริกาใต้ ซึ่งการคว่ำบาตรสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 1974
ผลของการคว่ำบาตร ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลก เพิ่มขึ้นถึง 300% จาก 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขยับขึ้นจนกลายเป็น 12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า ‘First oil shock’ เป็นวิกฤติพลังงานโลกซึ่งส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ต่อเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
สงครามอิสราเอล-ฮามาส จะนำไปสู่วิกฤติราคาน้ำมันอีกมั้ย
เมื่อนำเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น มาเทียบกับเหตุการณ์สงครามในเวลานี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ ราคาน้ำมันจะไม่ขึ้นแบบไม่มีอะไรต้านเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤติพลังงานโลก
เราจะไม่เห็นผู้คนไปยืนต่อแถวยาวเหยียดที่ปั๊มน้ำมันแบบที่เคยเกิดขึ้น ตราบใดที่ชาติอาหรับไม่ได้เข้าร่วมโจมตีอิสราเอล และประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันนอก OPEC หรือ OPEC+ ไม่มีการจำกัดการส่งออกน้ำมัน หรือปรับขึ้นราคามากเกินไป
อย่างไรก็ดี หัวหน้า สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) มีการให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นตลาดน้ำมันกับสงครามรอบนี้ว่า ข่าวสงครามอิสราเอล-ฮามาส ไม่ใช่ข่าวดีของตลาดน้ำมัน เพราะเวลานี้ ตลาดน้ำมันก็กำลังตึงตัวมากขึ้น จากการที่ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียลดกำลังการผลิตอยู่แล้ว ขณะที่ ความต้องการจากจีนก็มีแนวโน้มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ต.ค. ที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ตลาดน้ำมันได้ปรับเพิ่มค่าส่วนต่างค่าความเสี่ยง (risk premium) 3-4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทันทีที่ตลาดเปิดทำการ จากที่ก่อนหน้านั้น ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอยู่แล้ว ช่วงกลางเดือน ก.ย. หลังซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ขยายความร่วมมือลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปี 2023 ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบและสินค้าคงคลังอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษ
แนวโน้ม Deman และ Supply น้ำมันจะเป็นยังไงต่อไป
คำถามคือ ราคาน้ำมันไม่ขึ้นแบบบ้าคลั่ง หรือขาดแคลน แล้วแนวโน้มราคาน้ำมันจะเป็นยังไงต่อไป ก็คงต้องมาวิเคราะห์จาก Demand และ Supply ซึ่งก็คือ ความต้องการใช้น้ำมัน กับน้ำมันที่ผลิตออกมาให้ใช้ก่อน
ถ้าดูจากฝั่งความต้องการใช้ จะพบว่า ประเทศจีน อินเดีย และบราซิล ซึ่งจัดอยู่ในตลาดเกิดใหม่ ยังมีความต้องการใช้น้ำมันเติบโตที่โดดเด่น และเป็นแรงสนับสนุนที่ทำให้คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันโลกทั้งปี 2023 เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปอยู่ที่ 101.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยที่ จีน คิดเป็น 77% ของความต้องการทั้งหมด
เมื่อดูต่อไปในปี 2024 ความต้องการใช้น้ำมันโลกมีแนวโน้มเติบโตน้อยลง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแค่ 9 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่เร่งตัวขึ้นจากกิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิดหมดลง ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง
พอไปดูที่ฝั่งการผลิตน้ำมันออกมาป้อนตลาดโลก พบว่า ในปี 2023 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนปี 2024 จะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม OPEC+ (กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน 23 ประเทศ) เพราะว่า การผลิตน้ำมันที่มาจากกลุ่ม OPEC+ ในปี 2023 หดตัว
ทั้งนี้ แม้ว่าในกลุ่ม OPEC+ จะมีอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมัน ที่การผลิตเติบโตอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ แต่จากการที่ทั้งกลุ่ม OPEC+ ลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ คาดว่าจะทำให้สัดส่วนการผลิตในตลาดลดลง โดยผลิตได้เพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าความต้องการน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2023
แต่ถ้าเปิดมาเดือน ส.ค. 2024 ประเทศที่เคยลดกำลังการผลิต ไม่ลดต่อ การผลิตน้ำมันก็จะกลับมาเติบโต ช่วยเติมเติมปริมาณน้ำมันในคลังสำรองที่หดหายไปได้
ทั้งนี้ ในรายงาน World Energy Outlook 2023 ของ IEA มองแนวโน้มความต้องการน้ำมันในอนาคต ดังนี้
- 20 ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้น้ำมันเคย +18 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากความต้องการ เดินทางทางถนน จำนวนรถยนต์ทั่วโลก ขยายตัวเป็นมากกว่า 600 ล้านคัน การขนส่งสินค้าทางถนนเพิ่มขึ้นเกือบ 65% ส่งผลให้การเดินทางทางถนน คิดเป็น 45% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก มากกว่า ภาคอื่น ๆ
- ปัจจุบัน เข้าสู่ยุคสิ้นสุดการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันเพื่อการเดินทางทางถนนแล้ว เนื่องจาก รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น กระทบความต้องการใช้น้ำมันเพื่อการเดินทางทางถนน
- ปี 2020 รถยนต์ EV คิดเป็น 4% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ปี 2023 คิดเป็น 23% ด้วยยอดขาย 14 ล้านคัน ส่วนใหญ่เป็นยอดขายในจีน และประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว และคาดว่าจำนวนรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้นรวดเร็วในอนาคต
- ความต้องการใช้น้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมี การบิน และขนส่งทางเรือ ยังเพิ่มต่อเนื่องไปจนถึงปี 2050 แต่ไม่เพียงพอชดเชยความต้องการน้ำมันสำหรับเดินทางทางถนนที่หายไป เช่นเดียวกับความต้องการใช้ผลิตไฟฟ้าและการใช้งานในภาคก่อสร้างที่ลดลง
คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบระยะยาว
สรุปความน่าจะเป็น 3 กรณีที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในอนาคต
คาดการณ์ ราคาน้ำมัน ปี 2024
ดูแนวโน้มแบบยาวๆ กันแล้ว มาดูมุมมองระยะสั้นๆ กันบ้าง โดยสถาบันข้อมูลพลังงานของสหรัฐฯ (U.S. Energy Information Administration : EIA) มอง ดังนี้ (คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ก.ย. 2023)
สรุปคาดการณ์ EIA เกี่ยวกับตลาดน้ำมันปี 2024
คาดการณ์การผลิตน้ำมันปี 2024
การผลิตน้ำมันดิบใน OPEC+ จะเพิ่มขึ้นเพียงเฉลี่ย 300,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2024 ส่วนหนึ่งมาจากซาอุดีอาระเบีย ขยายการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ ส่วนประเทศ OPEC+ โดยรวมก็ยังคงผลิตต่ำกว่าเป้าหมาย
การผลิตและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเหลวของโลก ปี 2024
ด้วยการผลิตที่จำกัดของ OPEC+ ทำให้ EIA คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันโลกจะแซงหน้าการผลิต ช่วงครึ่งหลังของปี 2023 และส่วนใหญ่ของปี 2024 เป็นแรงกดดันราคาน้ำมันในระยะข้างหน้า
ปัจจัยที่กระทบกับคาดการณ์ ราคาน้ำมัน ปี 2024
- ความไม่แน่นอนที่จะเกิดการหยุดชะงักฝั่งอุปทาน ซึ่งเป็นผลจากสงครามอิสราเอล-ฮามาส
- การผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ที่สูงกว่าคาดการณ์
- การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จากการเพิ่มแท่นขุดเจาะและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ +6.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล = 94.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) +7.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล = 90.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คาดการณ์ ราคาน้ำมัน ปี 2024 ของ EIA
สรุปคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปี 2023 และ/หรือ ปี 2024 ของสำนักต่าง ๆ
อ่านเพิ่ม