ทำไม ไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพราะ หากพูดถึงเรื่อง “ดอกเบี้ย” พี่ทุยเชื่อว่าแทบทุกคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินกู้หรือดอกเบี้ยเงินฝาก ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องในฐานะผู้ที่ต้องการกู้เงินหรือผู้ฝากเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะอยู่ที่เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศนั้นๆ
หากธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากตาม ในทำนองเดียวกัน เมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์ก็จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ความต้องการเงินกู้ ปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบ ต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น และเราอยู่ในฐานะผู้ฝากเงิน เราจะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากเราเป็นผู้กู้ก็ต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางจึงส่งผลต่อทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกัน คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยเงินฝาก กับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาระที่เพิ่มขึ้น
โลกเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มรูปแบบ แต่ทำไม ไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบันเรากำลังยืนอยู่ในจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เห็นได้จากธนาคารกลางสำคัญของโลกหลายแห่งทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งติดต่อกัน รวม 0.75% เพื่อชะลอเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปี
ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) แม้จะยังไม่ได้ปรับขึ้น แต่จากอัตราเงินเฟ้อยุโรปที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ Christine Lagard ประธาน ECB กล่าวในงานประชุม World Economic Forum ว่า มีความเป็นได้สูงที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว
ขณะที่จากตารางด้านล่าง จะเห็นว่า ธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา อาทิ สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, บราซิล และมาเลเซีย ต่างพร้อมใจกันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่แตกต่างกันไป ส่วนไทยยังคงไว้เท่าเดิมที่ 0.50% จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า ทำไมไทยถึงยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหมือนประเทศอื่นบ้าง ?
เหตุผลแรก: เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำและจัดอยู่ในกลุ่มต่ำสุดในโลก ไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ย
อัตราเงินเฟ้อของไทยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 จากเดือน พ.ค. 2564 ที่ 3.4% ขึ้นมาอยู่ที่ 4.7% ในเดือน เม.ย. 2565 แม้จะลดลงจากเดือนก่อนหน้า แต่ถือว่าเป็นช่วงที่เงินเฟ้อไทยสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี นับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551
สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อไทยสูงเช่นนี้ เกิดจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซีย ทำให้สินค้าที่รัสเซียและยูเครน เป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกสำคัญของโลก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร อาทิ ข้าวสาลี ข้าวโพด รวมถึงน้ำมันดิบที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก มีอุปสรรคในการขนส่งและเกิดภาวะของขาดตลาด จึงดันให้ราคาพลังงานและอาหารในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศ รวมถึงไทยปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อไทยยังถือว่าต่ำกว่าอีกหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร (9.0%) สหรัฐฯ (8.3%) อินเดีย (7.8%) และสิงคโปร์ (5.4%) นอกจากนี้ หากจัดอันดับเงินเฟ้อของทุกประเทศทั่วโลกจากมากไปน้อย จะพบว่า เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันที่ 4.7% อยู่ในกลุ่มต่ำสุดของโลก โดยอยู่ในอันดับ 140 จาก 190 ประเทศ
ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นในปัจจุบันเกิดจากสาเหตุด้านต้นทุนที่มาจากต่างประเทศเป็นหลัก (Cost-push Inflation) จึงไม่การันตีว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยยับยั้งเงินเฟ้อที่สูงได้หรือไม่ อีกทั้งเงินเฟ้อที่สูงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เห็นได้จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 4.7% ก่อนจะปรับลดลงเข้าสู่ปกติที่ 1.7% ในปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารในตลาดโลกค่อยๆ ปรับลดลงหลังจากนี้
เหตุผลที่สอง: หนี้ครัวเรือนไทยสูงและสูงสุดในประเทศกำลังพัฒนา
ในปัจจุบันที่ราคาสินค้าและบริการหลายรายการ โดยเฉพาะอาหารสด ก๊าซ น้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพมีราคาสูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง เนื่องจากการที่ราคาสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น เท่ากับว่าค่าครองชีพและภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจซ้ำเติมภาระหนี้ของคนไทยที่อยู่ในระดับสูงอยู่ก่อนแล้วให้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 14.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.1% ต่อ GDP สูงที่สุดและเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน โดยหนี้ของคนไทยส่วนใหญ่เกือบ 1 ใน 3 เป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้บัตรสินเชื่อส่วนบุคคล นั่นหมายความว่า คนไทยส่วนใหญ่ต้องแบ่งรายได้ 100 บาท มาชำระหนี้เหล่านี้ถึง 30 บาทเลยทีเดียว ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs เพิ่มสูงขึ้นจาก 4.6% ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 มาอยู่ที่ 7.5% ในปัจจุบัน
ดังนั้น ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า รายได้ยังไม่แน่นอน รายจ่ายก็มีมากขึ้น ภาระหนี้ของคนไทยและภาคธุรกิจที่ยังสูง หากเจอกับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะยิ่งบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตและจะทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมฟื้นตัวช้าลงไปอีก
เหตุผลที่สาม: เงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลเงินในภูมิภาค
เศรษฐกิจไทยเป็นระบบเปิดและพึ่งพาภาคต่างประเทศมาก การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยย่อมมีผลโดยตรงต่อทิศทางค่าเงินบาท หากอัตราดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่า นักลงทุนก็จะโยกย้ายเงินทุนกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เงินบาทก็จะอ่อนค่าลง
หากเทียบอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันของไทย (0.50%) ที่อยู่ต่ำกว่าสหรัฐฯ (0.75 – 1.00%) นักลงทุนต่างชาติจะขายเงินบาทแล้วแลกดอลลาร์เพื่อนำเงินไปลงทุนในสหรัฐฯ เท่ากับว่า ความต้องการเงินบาทจะลดลง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ เงินบาทในช่วงที่ผ่านมาทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 5 ปีที่ 34.7 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อกลางเดือน พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันจะพลิกกลับมาแข็งค่าที่ 34.1 บาทต่อดอลลาร์ แต่เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทอ่อนค่าลงเพียง 2.7% น้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค อาทิ เยน (ญี่ปุ่น) วอน (เกาหลีใต้) และริงกิต (มาเลเซีย) เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อาจส่งผลให้เงินบาทกลับมาแข็งค่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นมากนัก เนื่องจาก เงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่น ประกอบกับในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น หลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
เพราะหากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วเกิดเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว อาจกระทบต่ออำนาจซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศในช่วงนี้ก็เป็นได้
ดังนั้น สาเหตุสำคัญที่ทำไมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยถึงไม่ปรับขึ้นตามดอกเบี้ยโลก เป็นเพราะเงินเฟ้อไทยยังต่ำ หนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจไทยยังสูง และค่าเงินบาทยังอ่อนค่าไม่มากนัก
สุดท้ายนี้ เราคงไม่สามารถฟันธงได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้งและไปสิ้นสุดที่เท่าไหร่ รวมถึงดอกเบี้ยไทยจะปรับขึ้นตามหรือไม่ แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัว และตลาดการเงินที่ผันผวนสูงจากภาวะสงคราม นั่นคือ การหาสินทรัพย์ที่เป็นกันชนหรือการปรับพอร์ตด้วยการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่พอจะช่วยลดความผันผวนนี้ได้