กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้วกับ ฟุตบอลโลก 2022 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปีนี้ประเทศเจ้าภาพคือ กาตาร์ ที่ทุ่มงบประมาณกว่า 220,000 ล้านดอลลาร์ ใช้งบมากที่สุดตั้งแต่ FIFA เคยจัด World Cup มา
ต้องบอกว่าแม้การจัดฟุตบอลโลกจะทำให้ประเทศเจ้าภาพควักเงินมหาศาลออกมาจัดงาน แต่ก็ยังมีหลายประเทศที่ต่อคิวอยากจะเป็นเจ้าภาพไม่ขาดสาย นั่นก็เพราะ คงไม่มีมหกรรมกีฬาใดที่ดึงดูดสายตาคนทั่วโลกได้มากเท่านี้ ประเทศที่เป็นเจ้าภาพจึงหวังให้การแข่งขันฟุตบอลโลกช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศตนเองไปทั่วโลกและดึงดูดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามมีทั้งงานศึกษาและนักเขียนที่ออกมายืนยันว่าการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกไม่ได้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กาตาร์ก็เหมือนกับประเทศเจ้าภาพในครั้งก่อนที่หวังว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการเป็นที่รู้จักในระดับโลกและมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) ไหลเข้าหลังมหกรรมฟุตบอลโลก
สุดท้ายแล้วคำถามคือ การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกช่วยแค่กระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวระยะสั้นที่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาล หรือมีวิธีอื่นที่การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกช่วยสร้างประโยชน์ได้มากกว่า
ความคาดหวังเงินลงทุนจากต่างชาติของกาตาร์
กาตาร์ทุ่มงบ 220,000 ล้านดอลลาร์ เนรมิตรโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกสำหรับมหกรรมกีฬานี้ไม่ว่าจะเป็นถนน ระบบขนส่งมวลชน โรงแรมและศูนย์กีฬา โดยสร้างการจ้างงานแล้วกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง
IPA Qatar หน่วยงานที่ส่งเสริมการลงทุนในกาตาร์คาดว่าฟุตบอลโลก 2022 จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น อุตสาหกรรมกีฬาเฟืองฟู, กระตุ้นวงการ Esport, การดูแลสุขภาพการกีฬา นอกจากนี้ยังมีผลดีที่จะตามมาอันเกิดจากโอกาสลงทุนที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลก
ความหวังในฟุตบอลโลกยิ่งชัดมากขึ้นเมื่อดูจากตัวเลขเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ลดลงทุกปีระหว่างปี 2014 ถึง 2020 นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่กาตาร์จัดตั้ง IPA Qatar เมื่อปี 2019 เพื่อส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ทิศทางเศรษฐกิจก็อาจเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยสะท้อนผ่านคำกล่าวของประธานผู้จัดงานฟุตบอลโลกที่หวังว่าประเทศจะเปลี่ยนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การท่องเที่ยวเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับรัสเซียหลังจบฟุตบอลโลก 2018
ฟุตบอลโลก 2022 ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติได้จริงหรือ?
มีรายงานและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านออกมาเผยในทางเดียวกันว่าฟุตบอลโลกจะไม่ดึงดูดเม็ดจากต่างชาติ เพราะบริษัทเอกชนที่จะลงทุนในประเทศใดก็ต้องพิจารณาจากทรัพยากรในประเทศ ค่าแรงงานที่ต่ำ หรือมีโอกาสในการจำหน่ายสินค้า แต่มหกรรมฟุตบอลโลกเป็นเหมือนกับพลุที่สว่างไสวชั่วคราว บริษัทจึงไม่สนใจลงทุน
พิจารณาที่ตัวเลข FDI ของประเทศเจ้าภาพ 3 ครั้งล่าสุด พบว่า FDI ไม่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแอฟริกาใต้และรัสเซียมีเม็ดเงินเข้าเพิ่มขึ้นก่อนทัวร์นาเมนต์ ส่วนบราซิลมีเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้นล่วงหน้าประมาณ 2 ปี แต่สุดท้ายทั้ง 3 ประเทศก็มีเม็ดเงิน FDI ลดลงภายหลังจบฟุตบอลโลก
ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็อาจได้ผลดีในระยะสั้น แต่โดยรวมยอดนักท่องเที่ยวในปีดังกล่าวอาจลดลง เพราะไม่อยากเผชิญกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากและราคาที่พักพุ่งสูง เช่น มหกรรมโอลิมปิกปี 2004 ที่เอเธนส์ ส่วนฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนีก็เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้เพียง 60 ล้านดอลลาร์
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลข FDI และการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬา
รายงายจาก GlobalData ชี้ว่ายิ่งประเทศใดจัดมหกรรมกีฬามาก ประเทศนั้นยิ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ทั้งหมดว่าเป็นผลมาจากการเป็นเจ้าภาพกีฬาเพียงอย่างเดียว อาจมีปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น เสถียรภาพทางการเมือง, โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม
การรักษาประโยชน์ที่ได้จากการเป็นเจ้าภาพให้มากที่สุด คือ การรักษาความสัมพันธ์และสนับสนุนบริษัทที่เข้ามาลงทุนในช่วงจัดมหกรรมกีฬา และต้องรักษาภาพลักษณ์ที่สร้างจากการเป็นเจ้าภาพต่อไปให้ได้ ซึ่งกาตาร์กำลังเผชิญความท้าทายด้านนี้เนื่องจากมีปัญหาละเมิดสิทธิ์แรงงานที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับฟุตบอลโลก 2022
ฟุตบอลโลก 2022 จะส่งเสริมประโยชน์ให้เจ้าภาพได้อย่างไร?
กีฬามีความสามารถก้าวผ่านข้อจำกัดด้านวัฒนธรรมและภาษา จุดนี้จึงช่วยส่งเสริม soft power ของประเทศเจ้าภาพได้ซึ่งแน่นอนว่าวัดผลยาก แต่การส่งเสริมประโยชน์จาก soft power ให้มากที่สุด รัฐบาลจะต้องวางแผนเป็นเจ้าภาพกีฬาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้คงอยู่ต่อไป
ก่อนแข่งขันฟุตบอลโลก ประเทศกาตาร์ได้เป็นเจ้าภาพกีฬาอื่น เช่น Asian Football Confederation Cup, World Men’s Handball Championship และจะเป็นเจ้าภาพ Asian Games ปี 2030 ด้านเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นประเทศ บาห์เรน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็มุ่งเน้นด้านนี้เช่นกัน ด้วยการจัดการแข่งขันรถ Formula One, ทัวร์นาเมนต์กอล์ฟระดับโลก, การแข่งขันเทนนิส และยังลงทุนใน Esport
ทำไมทุกประเทศต่างแย่งกันเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก
มีการประท้วงในบราซิลเนื่องจากประชาชนเห็นว่าควรนำเงินไปใช้เพื่อสวัสดิภาพของประชาชนมากกว่าเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพ ขณะที่กาตาร์ก็ต้องลงทุนสร้างสนามฟุตบอลใหม่แทบทั้งหมด ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพชัดว่าแทบไม่มีประเทศใดได้กำไรจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเลย แต่ทำไมยังมีประเทศเสนอตัวเป็นเจ้าภาพทุกครั้ง?
Andrew Zimbalist ผู้เขียน Circus Maximus: The Economic Gamble Behind Hosting the Olympics and the World Cup กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองจะใช้มหกรรมกีฬาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ด้านบริษัทรับเหมาก็ส่งเสริมนักการเมืองทั้งให้มุมมองว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและหนุนเงินทุนให้นักการเมือง
แม้จะบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาว แต่ก็มีการโต้แย้งว่าในเมื่อเห็นแล้วว่าจะมีประโยชน์ ก็ไม่ควรต้องรอมหกรรมกีฬาแล้วจึงสร้างก็ได้
ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากฟุตบอลโลก
เยอรมนีเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้เล็กน้อย แอฟริกาใต้รายงานว่าไม่สามารถวัดผลดีต่อเศรษฐกิจได้ ส่วนบราซิลก็เผชิญปัญหาเศรษฐกิจหลังผ่านโอลิมปิก 2016 แต่ FIFA เป็นผู้ชนะในทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น ฟุตบอลโลกปี 2010 FIFA ได้รับเงิน 2,400 ล้านดอลลาร์ จากการถ่ายทอดสด และอีก 1,070 ล้านดอลลาร์ จากการขายลิขสิทธิ์ รายได้เหล่านี้เข้า FIFA โดยตรง ไม่ผ่านรัฐบาลของประเทศเจ้าภาพ
สุดท้ายแล้วพี่ทุยมองว่าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานก็ยังดีกว่าการไม่สร้างอะไรเลย อย่างไรก็ตามการเป็นประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกยังชี้วัดได้ยากซึ่งส่วนใหญ่จะขาดทุน แต่จากบทเรียนเหล่านั้นชี้ว่าจะสร้างประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อรัฐบาลมีแผนสำหรับมหกรรมกีฬาอื่นในระยะยาว รวมไปถึงใช้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นให้ได้ประโยชน์สูงสุด
และถ้าประเทศยังมีปัญหาทางการเงินก็ไม่ควรรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ มิฉะนั้นจะดำเนินรอยตามประเทศบราซิลที่ขาดดุลแต่ก็ยังเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 และโอลิมปิก 2016
อ่านเพิ่ม