"หนี้สาธารณะไทย" เกือบทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว ส่งผลกระทบอะไรเราบ้าง ?

“หนี้สาธารณะไทย” เกือบทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว ส่งผลกระทบอะไรเราบ้าง ?

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • หนี้สาธารณะไทย ณ 28 ก.พ. 2565 อยู่ที่ 9.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 60.17% ต่อ GDP ซึ่งแต่ก่อนเพดานหนี้สาธารณะไทยเคยถูกตั้งไว้ที่ 60% ต่อ GDP แต่กระทรวงการคลังเพิ่งขยับเป็น 70% เมื่อปลายปี 2564
  • ถ้าดูข้อมูลปี 2564 ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่หนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก 257% ต่อ GDP และถ้าเทียบเวทีโลก หนี้สาธารณะไทยยังถือว่าห่างไกลจากกลุ่มที่มีหนี้สาธารณะสูง
  • กรีซเป็นตัวอย่างของประเทศที่เคยก่อหนี้สาธารณะสูง จนพาประเทศไปถึงจุดวิกฤติ

 


รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “หนี้สาธารณะ” กันมาบ้างแล้ว อาจจะงง ๆ เล็กน้อยว่า เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับชีวิตของเรามั้ย ต้องรู้รึเปล่า วันนี้พี่ทุยเลยอยากมาเล่าเรื่องหนี้สาธารณะให้ฟัง ลองมาดูซิว่า ตอนนี้ “หนี้สาธารณะไทย” มีมากน้อยเท่าไหร่ แล้วถ้าไปประชันกับเวทีโลก มันสูงมั้ย ? แล้วเราจะได้รับผลกระทบอะไรจากหนี้นี้บ้าง ? 

ความสำคัญของหนี้สาธารณะ

ก่อนอื่น พี่ทุยขออธิบายสั้น ๆ ว่า หนี้สาธารณะมีความเกี่ยวพันกับชีวิตเราทุกคน เพราะมันคือหนี้ที่รัฐบาลไปกู้มา จากการที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ซึ่งก็มีทั้งกู้ในประเทศเอง เช่น ออกพันธบัตรรัฐบาลระยะต่าง ๆ  แล้วก็กู้จากต่างประเทศ เช่น กู้สถาบันการเงินต่างประเทศ รัฐบาลประเทศอื่น หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นต้น    

ถ้านึกภาพง่าย ๆ การก่อหนี้สาธารณะ ก็ไม่ต่างจากเวลาเราต้องการเงินทุนไปใช้ทำอะไรสักอย่าง แต่เงินของเราเองมีไม่พอ ก็เลยต้องไปกู้แบงก์ หรือยืมคนอื่นมานั่นแหละ แต่ต่างกันตรงที่ นี่เป็นรัฐบาลกู้ ซึ่งก็เหมือนคนไทยทั้งประเทศมีส่วนร่วมเป็นหนี้ด้วย เพราะเงินเหล่านี้กู้มาเพื่อใช้จ่ายหรือลงทุนเพื่อประโยชน์สาธารณะ  

และเป็นรัฐบาลก็ใช่ว่าจะเบี้ยวหนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็อาจจะตกอยู่ในสถานะช็อตเงิน ผิดนัดชำระหนี้ได้เหมือนกัน ซึ่งในโลกนี้ก็เคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ผลที่ตามมาคือ เสียเครดิตของประเทศ ถ้าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ต่อไปประเทศก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นเวลาที่จะขอกู้เพิ่มเติมรอบใหม่ แล้วก็จะหาเงินกู้ได้ยากขึ้นด้วย

เหตุผลที่มักทำให้รัฐบาลผิดนัดชำระหนี้

  • เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ
  • เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง
  • มีความวุ่นวายทางการเมือง
  • รัฐบาลใช้จ่ายมากเกินไปทำให้เกิดความไม่ยั่งยืนในหนี้สาธารณะ
  • รัฐบาลลดค่าเงิน มีการพิมพ์เงินมามากขึ้นเพื่อจ่ายหนี้

ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่รัฐบาลปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ผู้ซื้อพันธบัตรและผู้ปล่อยกู้ ก็อาจตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งก็จะยิ่งซ้ำเติมให้วิกฤติรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งขั้นร้ายแรงที่สุดก็เหมือนกับเวลาคนเป็นหนี้นั่นแหละ สุดท้ายถ้าจ่ายไม่ได้ ก็ “ล้มละลาย” เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คนตกงานกันมหาศาล

สำรวจ “หนี้สาธารณะไทย” ตอนนี้

คราวนี้ พี่ทุยจะพามาดูว่า แล้วประเทศไทยล่ะ ตอนนี้มีหนี้สาธารณะอยู่เท่าไหร่ โดยข้อมูลนี้มาจากเว็บไซต์ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ. 2565

"หนี้สาธารณะไทย" เกือบทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว ส่งผลกระทบอะไรเราบ้าง ?

"หนี้สาธารณะไทย" เกือบทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว ส่งผลกระทบอะไรเราบ้าง ?

ถ้าดูจากตัวเลขหนี้สาธารณะทั้งหมดแล้ว จริง ๆ หนี้ก็มาจากรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้ในประเทศ โดยเงินกู้ก้อนที่ใหญ่ที่สุดคือ กู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และบริหารหนี้ ส่วนอีกก้อนใหญ่ที่งอกขึ้นมาในช่วงนี้คือ เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 พ.ศ.2563 และ เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ก็คือโดยรวมแล้วเราก่อหนี้สาธารณะเยอะช่วงนี้ เพื่อเอามาใช้กู้สถานการณ์เศรษฐกิจช่วงโควิดนั่นเอง

จริง ๆ แล้ว ไทยเคยกำหนดเพดานการก่อหนี้สาธารณะเอาไว้ที่ 60% ต่อ GDP แต่สถานการณ์โควิดทำให้สภาพเศรษฐกิจแตกต่างไปจากช่วงเวลาปกติ มีความผันผวนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้สูง และอาจมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2564 ก็เลยพิจารณาว่า เพดานหนี้ 60% ไม่สามารถรองรับการกู้เงินเพิ่มเติมในอนาคตได้ จึงเห็นชอบให้ขยายกรอบเพดานหนี้เป็น 70% ต่อ GDP เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ มารองรับสถานการณ์เศรษฐกิจได้ทันเวลามากขึ้น   

ฉะนั้นตัวเลขหนี้สาธารณะเดือนก.พ. 2565 ที่ 60.17% ต่อ GDP นี้ ก็คือ ทะลุกรอบเพดานหนี้สาธารณะเดิมไปแล้ว แต่ยังอยู่ในเพดานหนี้สาธารณะใหม่ที่วางไว้ และรัฐบาลคาดการณ์ว่า ปิดปีงบประมาณ 2565 (ก.ย. 2565) หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยน่าจะอยู่ที่ 62%

ในประเด็นการขยายเพดานหนี้สาธารณะนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ตัว พ.ร.ก. 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลกู้เพิ่มเติมในช่วงปี 2564-2565 มาเยียวยาและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว เป็นตัวแปรที่จะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 60% ในปี 2565 อยู่แล้ว

ส่วนเพดานหนี้ที่ 70% ยังถือว่าไม่สูงเกินไป เพราะถ้าไปดูกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 120% ก็มี หรือประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย เพดานหนี้ก็อยู่ที่ 70% เหมือนกัน แต่ ธปท. ก็ย้ำว่า ในอนาคตภาครัฐต้องมีแนวทางชัดเจนเพื่อปรับลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลงด้วย เพื่อเป็นการรักษาวินัยการคลัง เพราะที่สุดแล้ว เพดานหนี้สาธารณะ ก็ถูกตั้งขึ้นมา เพื่อให้ภาครัฐไม่กู้เงินมาใช้จ่ายจนมากเกินตัว

อ่านเพิ่ม

สำรวจหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศอื่นในโลก

ดูตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยไปแล้ว คราวนี้พี่ทุยพาไปแกะรอยต่างประเทศกันบ้างดีกว่าว่า แต่ละประเทศมีหนี้สาธารณะกันเยอะแค่ไหน ถ้าเอาไทยไปเทียบชั้นแล้วเป็นยังไงบ้าง

ถ้าดูเทียบในเวทีโลก ในรายงาน World Economic Outlook Report ฉบับเดือน ต.ค. 2564 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะพบว่า ประเทศไทยยังอยู่หางแถวมาก ๆ ในเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สมมติว่าเพิ่มเพดานหนี้เป็น 70% ต่อ GDP แล้ว ถ้าก่อหนี้ไปถึงระดับนั้น ก็ยังต่ำกว่าอีก 71 ประเทศอยู่

ดังนั้นก็ถือว่าตัวเลขสัดส่วนหนี้สาธารณะในปัจจุบันของเรายังไม่น่ากังวลเท่าไหร่ ถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจของเราอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว รัฐบาลเริ่มเก็บรายได้ได้มากขึ้น และไม่ออกไอเดียใช้จ่ายโครงการอะไรที่เกินตัว

ตัวอย่างประเทศที่หนี้สาธารณะสูงจนนำไปสู่วิกฤติ

แม้ไทยจะยังไม่อยู่ในสถานะที่หนี้สาธารณะสูงจนน่าห่วงในเวลานี้ แต่พี่ทุยก็อยากจะหยิบยกตัวอย่างประเทศอื่นมาให้ดูกันเป็นอุทธาหรณ์ว่า เวลาประเทศกู้มาก จนปล่อยให้ไปถึงขั้นผิดนัดชำระหนี้แล้ว จะเกิดอะไรบ้าง โดยขอเอ่ยถึง ตัวอย่างสำคัญ ก็คือ “กรีซ”

วิกฤติหนี้สาธารณะกรีซถือว่าดังกระฉ่อนโลก โดยปัญหามียาวนานตั้งแต่ 2552-2562 สั่นสะเทือนสถานะสหภาพยุโรปมากพอตัว  

ประเทศนี้มีจุดเริ่มต้นวิกฤติมาตั้งแต่ปี 2552 จากการที่รัฐบาลประกาศงบประมาณขาดดุล 12.9% ต่อ GDP มากกว่า 4 เท่า จากตัวเลขที่ยุโรปกำหนดไว้ที่ 3% ทำให้หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศกรีซลง นักลงทุนก็กังวล จึงไปกระทบต้นทุนกู้ยืมในอนาคตของกรีซ

ต่อมากรีซพยายามทำตามมาตรการรัดเข็มขัดที่สหภาพยุโรปกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขอให้ทำ เพื่อที่จะได้เงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดจบที่การล้มละลาย

มาตรการก็มีทั้งให้กรีซเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มภาษีนิติบุคคล ปิดช่องโหว่ทางภาษีโดยสร้างหน่วยงานเก็บภาษีที่เป็นอิสระขึ้นมาเพื่อลดการหลีกเลี่ยงภาษี ลดแรงจูงใจสำหรับการเกษียณอายุก่อนกำหนด ลดค่าแรงเพื่อลดต้นทุนสินค้าและกระตุ้นการส่งออก และแปรรูปธุรกิจของรัฐหลายแห่ง เช่น การส่งไฟฟ้า

การอุ้มชูกรีซเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะให้เงินช่วยเหลือ หรือลดหนี้ให้ด้วยการยอมลดมูลค่าพันธบัตรกรีซที่ถืออยู่ แต่ระหว่างที่ยุโรปประคองกรีซ คนกรีซเองก็ไม่ชอบใจกับมาตรการที่ถูกบังคับให้ทำ จนมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเลือกตั้งในเดือน ม.ค. 2558 เมื่อนายกรัฐมนตรี  Alexis Tsipras ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งเขาดันสัญญากับประชาชนว่า จะลงคะแนนเสียง “ไม่” ดำเนินการมาตรการรัดเข็มขัด พร้อมจะกดดันให้ยุโรปลดหนี้

ความวุ่นวายเลยเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น เพราะกรีซมีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น ไม่ยอมจ่ายเมื่อถึงกำหนด แถมยังลงคะแนนเสียงว่า จะไม่ปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัด จนไปทำให้ระบบธนาคารสั่นคลอน คนแห่ถอนเงินจนธนาคารต้องสั่งห้ามถอนเงินเกิน 60 ยูโรต่อวัน  

พอเกิดปัญหาวุ่นวายขนาดนี้ ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) ก็จำยอมเข้าไปอุ้มต่อ ด้วยการเพิ่มทุนให้ธนาคารกรีซ ให้กลับมาเปิดได้ แต่พอเปิดแล้วก็มีมาตรการห้ามถอนเงินเกิน 420 ยูโรต่อสัปดาห์ ป้องกันคนแห่ถอนเงินในบัญชี แล้วต่อมารัฐบาลกรีซก็จำยอมผ่านมาตรการรัดเข็มขัด ส่วน ECB กับ IMF ก็ตกลงลดหนี้ให้กรีซ ด้วยเงื่อนไขการให้ระยะเวลาจ่ายหนี้ยาวขึ้น เพื่อลดมูลค่าปัจจุบันของหนี้ แปลว่า กรีซมีหนี้เท่าเดิม แต่มีเวลาจ่ายนานขึ้น

เรื่องก็ยังลุกลามไปต่อ เพราะกรีซก็ไปใช้เงินกู้จากกองทุนฉุกเฉินสหภาพยุโรปมาจ่ายหนี้ให้ ECB ซึ่งอังกฤษก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ออกมาเรียกร้องให้สมาชิกสหภาพยุโรปรายอื่น ๆ ต้องเข้าร่วมรับประกันการสนับสนุนความช่วยเหลือนี้ด้วย ส่วนฝ่ายการเมืองกรีซก็ยังคงเดินหน้ากดดันยุโรปให้ลดหนี้ แล้วก็แข็งขืนกับการปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัดอีก ซึ่งก็ไม่เป็นที่พอใจของยุโรปเท่าไหร่

ปัญหายังคงวน ๆ ไปเรื่อย ๆ ในแบบนี้คือ กรีซไม่ปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัด แบงก์กรีซมีปัญหาหนี้เสีย ยุโรปต้องออกมาช่วยเหลือวนไปเรื่อย ๆ เป็นวงจรไม่จบสิ้น เรียกง่าย ๆ คือ หลังปล่อยให้ประเทศลงไปถึงขั้นใช้หนี้ไม่ได้แล้ว กว่าจะฟื้นกลับมาก็ไม่ง่ายเลย เพราะกรีซเพิ่งจะมาลืมตาอ้าปากไม่ต้องกู้ยุโรปได้ก็ตอนก่อนโควิด-19 นี่เอง แต่พอมีโควิดแล้ว ก็เหมือนกรีซก็ต้องมาคอยแก้ปัญหาวิกฤติหนี้กันวน ๆ ไป

จะเห็นได้ว่า ถ้าประเทศใช้จ่ายเกินตัว เป็นหนี้แล้วจ่ายคืนไม่ได้ ปัญหานี้ไม่ได้เดือดร้อนแค่รัฐบาลลาออกแล้วจบ แต่ปัญหาจะลุกลามทำให้คนในประเทศไม่มีกิน ตกอยู่ในสถานะลำบาก จนลงไปด้วย ฉะนั้น การใช้จ่ายอย่างมีวินัยไม่ได้สำคัญแค่กับคนในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะต้องทำให้ได้ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องไปถึงจุด “ล้มละลาย”

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile