ถ้า แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท จะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท จะเกิดอะไรขึ้น

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • สมมติคนไทยทั้งประเทศมี 70 ล้านคน แจกเงินคนละ 1 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าต้องใช้เงินงบประมาณกว่า 70 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า GDP ไทย ตอนนี้ถึง 4 เท่า เพราะ GDP เดือน มี.ค. 2566 มีเพียง 17.6 ล้านล้านบาท
  • ถ้าประชาชนมีเงินในมือเยอะ มีการใช้จ่ายพิ่มขึ้นมาก แต่ถ้าสินค้าและบริการผลิตไม่ทัน อุปทานไม่พอ คนจะแย่งกันซื้อแย่งกันใช้ สิ่งที่ตามมาก็คือเงินเฟ้อที่สูงมาก อาจจะถึงขั้น Hyperinflation
  • สรุปแล้วการแจกเงินหรือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบแบบไม่มีแผนรองรับ สุดท้ายแล้วเงินเกือบทั้งหมดจะวิ่งกลับไปหากลุ่มคนเดียวเท่านั้น จะยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ลองจินตนาการตามพี่ทุยดูนะทุกคน ถ้าอยู่ดี ๆ รัฐบาล แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท ไม่ต้องใช้คืน ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ไม่ต้องถูกหวยเราก็เป็นเศรษฐีเงินล้านแล้ว ฟังดูก็เข้าที ปัญหาความยากไร้ถูกแก้ไข คนจนหมดแผ่นดิน (???)

แต่เดี๋ยววววก่อน อย่าพึ่งรับฟังจนหูผึ่งไป จริง ๆ แล้วการแจกเงินมีข้อเสียที่ลึกซึ้ง และส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่มากมาย ถ้าการจัดการระบบการแจกเงินไม่รอบคอบและคิดถึงในหลากหลาย ๆ มิติ

วันนี้พี่ทุยพาทุกคนไปดูกันว่า หากมีการแจกเงินจริง ๆ จะส่งผลกระทบต่อภาคประชาชน ธุรกิจ และประเทศอย่างไร และควรทำอย่างไรเพื่อให้การแจกเงินส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุด ไปฟังกัน

ถ้า แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท จะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท จะเกิดอะไรขึ้น

ลองคำนวณเล่น ๆ ตามพี่ทุยนะ สมมติคนไทยทั้งประเทศมี 70 ล้านคน ถ้าแจกเงินคนละ 1 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าต้องใช้เงินงบประมาณกว่า 70 ล้านล้านบาท เพื่อแจกจ่าย ซึ่งมากกว่า GDP ไทย ตอนนี้ถึง 4 เท่า (อธิบาย GDP แบบหยาบ ๆ ก็คือมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดของไทย) เพราะ GDP เดือน มี.ค. 2566 มีเพียง 17.6 ล้านล้านบาท

พูดง่าย ๆ ขั้นแรกก็คือ จะเอาเงินที่จ่าย มันก็เป็นไปไม่ได้ (น่าจะเป็นไม่ได้ล่ะนะ) แต่ถ้าจะทู่ซี้แจกเงินจริง สิ่งที่รัฐจะต้องทำก็คือกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งการเป็นหนี้มันเป็นสิ่งที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วน ถ้าเงินที่ยืมมาแล้วนำไปลงทุนต่อยอด ได้ผลตอบแทนคืนมามากว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมันก็คุ้ม แต่คำถามคือการกู้หนี้ของรัฐเพื่อนำเงินมาแจกจ่ายประชาชน มัน “คุ้ม” หรือเปล่า

คุ้มไม่คุ้มดูยังไงล่ะ? ก็อาจจะต้องมานั่งคาดการณ์กันว่า ถ้าแจกเงินให้ประชาชนทุกคนจะเกิดฉากทัศน์ (scenario) อะไร

ถ้าประชาชนมีเงินในมือแบบเหลือ ๆ ก็เดาว่าการใช้จ่าย ซื้อนู้นซื้อนี้ จะเพิ่มขึ้นมาก ในตลาดเงินจะสะพัดสุด ๆ แต่ประเด็นคือ เมื่อความต้องการซื้อพุ่งขึ้นสูงพร้อม ๆ กัน สินค้าและบริการจะสามารถเพิ่มขึ้นตามมาสนองทันมั้ย? ถ้าผลิตไม่ทัน อุปทานไม่พอ คนจะแย่งกันซื้อ แย่งกันใช้ สิ่งที่ตามมาก็คือ เงินเฟ้อที่สูงมาก อาจจะถึงขั้น Hyperinflation เลยก็ว่าได้

ตัวอย่างประเทศที่เกิด Hyperinflation เพราะ นโยบายประชานิยม

ตัวอย่างประเทศที่เกิด Hyperinflation เพราะ นโยบายประชานิยม

เวเนซุเอลา เป็นตัวอย่างนโยบายการแจกเงินแบบไม่มีแผนรองรับที่ดีพอ ทำให้เกิด Hyperinflation ค่าเงินของเวเนฯ อ่อนค่าสุด ซื้ออะไรก็ไม่ได้ ธนบัตรไม่ต่างกับกระดาษที่ไร้ค่า ประชาชนมีเงินแต่ก็ซื้ออะไรไม่ได้ เพราะสินค้าต่างราคาพุ่งสูงในเวลาอันรวดเร็ว

เรียกว่า การที่เงินอ่อนค่าแบบหนักและรวดเร็ว สร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจอย่างมาก

ไทยเองก็เคยเจอวิกฤตค่าเงินอ่อน คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง

ไทยเองก็เคยเจอวิกฤตค่าเงินอ่อน คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง

ไทยเองก็เคยเจอวิกฤตค่าเงินอ่อน คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง

ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เมืองไทยก็เจอปัญหาจากการปล่อยลอยตัวค่าเงิน เงินบาทอ่อนอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยทรุดหนักในช่วงนั้น

การแจกเงิน ไม่เท่ากับ เศรษฐกิจดี เสมอไป?

การแจกเงิน ไม่เท่ากับ เศรษฐกิจดี เสมอไป?

การแจกเงิน ไม่เท่ากับ เศรษฐกิจดี เสมอไป?

โดยสรุปแล้ว การแจกเงินหรือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบแบบไม่มีแผนรองรับ สุดท้ายแล้วเงินเกือบทั้งหมดจะวิ่งกลับไปหากลุ่มคนเดียวเท่านั้น จะยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก

เพดานหนี้สาธารณะ

และอย่างที่พูดไปตั้งแต่ต้น นโยบายการแจกเงินลักษณะนี้ทำให้รัฐต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะอย่างแน่นอน และความน่ากังวลคือตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา สถานะการเงินของรัฐบาลไทยจัดทำงบประมาณขาดดุลเสมอ เพราะข้อจำกัดของการจัดเก็บรายได้รัฐบาลที่ไม่สามารถเพิ่มอัตราภาษีได้เลย รวมถึงจำนวนคนที่เข้าระบบเสียภาษีของไทยยังน้อย ซึ่งนี้เป็นปัญหาแน่นอน

แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท คงไม่ใช่คำตอบ

ถ้า แจกเงินคนไทย 1 ล้านบาท จะเกิดอะไรขึ้น

แม้ว่าการแจกเงินจะเป็นไปเพื่อความหวังให้เศรษฐกิจดี ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีต้องมาพร้อมกันในหลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่แค่อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ แต่ต้องเตรียมภาพรวมให้พร้อม ทั้งความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการให้ตามเงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้น อุปสงค์กับอุปทานเติบโตไปพร้อมกัน เน้นการพึ่งพาการผลิตจากในประเทศ มากกว่าการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ไม่ให้เกิด Hyperinflation ทั้งยังเตรียมให้คนที่รายได้น้อยหรือธุรกิจรายย่อยสามารถเก็บเกี่ยวเม็ดเงินที่เทลงมาได้ด้วย เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตทุกส่วน ไม่ผูกขาดแค่ผู้เล่นรายใหญ่

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile