สำหรับคนที่เริ่มลงทุนหรือออมเงินมาสักพัก หลายคนอาจจะเริ่มสังเกตเห็นว่าทำไมทางเลือกการออมของเราถึงดูมีไม่ค่อยมากหรือให้ผลตอบแทนไม่มากนัก โดยเฉพาะการฝากเงินเข้าบัญชีง่าย ๆ ที่ควรจะเป็นอะไรที่ควรดึงดูดการออมที่ดี หรือสงสัยไปอีกว่าแล้วคนอื่น ๆ มีทางเลือกแค่นี้เหมือนกันหรือไม่
วันนี้พี่ทุยจะชวนถอยมามองภาพที่กว้างออกไปถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ของเศรษฐกิจจากโครงสร้าง “เงินฝากของคนไทย” แต่ถ้าให้สรุปสั้น ๆ ตรงนี้เลย พี่ทุยจะบอกว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเงินฝากส่วนใหญ่ของไทยกระจุกตัวสูงมาก ถ้าสมมติให้เงินฝากในประเทศไทยมีอยู่ 100 บาทและมีคนอยู่ 100 คน (หรือบัญชี) เงินเกือบ 85 บาทจะเป็นของคนเพียงเกือบ 3 คนจาก 100 คนเท่านั้น
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถาบันเงินส่วนใหญ่ต้องให้ความสำคัญกับคนที่น้อยกว่าหยิบมือ เพราะมีเงินฝากเกือบ 85% ของเงินฝากทั้งหมด และเป็นที่รู้กันดีว่าคนกลุ่มนี้ก็มักจะเข้าถึงบริการการออมด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว และยังไม่รวมไปถึงสินทรัพย์ที่ถูกลงทุนอยู่ตามที่ต่าง ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทอง หรืออสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่น่ากลัวมากไปกว่านั้นคือแนวโน้มนี้ได้แย่ลงเรื่อย ๆ ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
จำนวนบัญชีเงินฝากของไทยมากกว่า 97% มีเงินต่ำกว่า 500,000 บาท
พี่ทุยขอเล่าในรายละเอียดจากจำนวน “บัญชีเงินฝาก” ในไทยก่อน จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาระบุว่าคนไทยมีบัญชีเงินฝากรวมกันถึง 101.5 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2551 ที่มีเพียง 72.5 ล้านบัญชี
ถ้าเจาะลึกไปดูสัดส่วนจำนวนบัญชี จะเห็นว่าแทบไม่เปลี่ยนแปลง โดยคนส่วนใหญ่มากกว่า 90% ยังมีเงินในบัญชีน้อยกว่า 100,000 บาท ซึ่งแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
ทีนี้พี่ทุยเลยลองไปเทียบกับจำนวนบัญชีที่มีเงินฝากตั้งแต่ 100,001 – 500,000 บาท จะพบทิศทางที่น่าสนใจ โดยสัดส่วนของบัญชีกลุ่มนี้กลับเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีแรก ก่อนจะลดลงในช่วง 6 ปีหลัง ตรงนี้สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำที่เริ่มจากลดลง ก่อนจะกลับมาเพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่บัญชีเงินฝากที่มีจำนวนเงินมากกว่า 500,000 บาท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยมากไม่ถึง 3% เมื่อเทียบกับบัญชีทั้งหมด
รู้หรือไม่ว่า 3 คนจาก 100 คน เป็นเจ้าของเงินฝากเกือบ 85%
ทีนี้พอพี่ทุยหันกลับมาดูสัดส่วนของปริมาณเงินฝากรวม ซึ่งมีถึง 13.2 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านล้านตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จะยิ่งสะท้อนภาพ ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ของไทยมากขึ้น โดยจำนวนเงินที่อยู่ในบัญชีที่มีเงินฝากน้อยกว่า 100,000 บาท คิดเป็นเพียง 5.3% ของปริมาณเงินฝากทั้งหมดของไทยเท่านั้น และหากรวมไปจนถึงบัญชีที่มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาทก็ยังแค่มีเพียง 15.6% ของปริมาณเงินฝากทั้งหมด
พอเรามาดูจำนวนเงินในบัญชีที่มีเงินฝากมากกว่า 200 ล้านบาทกลับมีจำนวนเงินฝากอยู่ถึง 22.2% ของปริมาณเงินฝากทั้งหมด ซึ่งนั้นมากกว่าเงินของคน 97% ที่มีจำนวนเงินในบัญชีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 รวมกันเสียอีก แต่เงิน 22.2% นี้ถือครองด้วยคนเพียง 0.004% เท่านั้น
แล้วที่พี่ทุยเป็นห่วงไปมากกว่านั้นคือแนวโน้มของปริมาณเงินฝากช่วงที่ผ่านมาที่ดูจะ ‘เหลื่อมล้ำ’ มากขึ้นอย่างรุนแรง โดยบัญชีที่มีเงินฝากน้อยกว่า 50 ล้านบาทกลับมีปริมาณเงินรวมลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกระดับของเงินฝาก สวนทางกับปริมาณเงินฝากในบัญชีที่มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาทกลับมีปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 12 ปีนี้
โดยเฉพาะกลุ่มบัญชีมากกว่า 200 ล้านบาทที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% โดยปริมาณเงินฝากของบัญชีที่กลุ่มนี้ในตอนนั้นมีเพียง 12.1% เท่านั้นและยังไม่ได้มากไปกว่าบัญชีที่มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาทในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
ภาพของ “จำนวนบัญชี” กับ “ปริมาณเงิน” ของบัญชีเงินฝากในแต่ละช่วงจะสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ณ เวลานี้ “ความเหลื่อมล้ำ” ส่วนหนึ่งพี่ทุยคิดว่าเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม” ด้วยที่ทำให้เกิดความต่างตรงนี้ขึ้น ลองคิดง่าย ๆ ว่าคนที่มีเงิน 1,000 บาท กับ คนที่มีเงิน 10,000,000 บาท ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 1% เท่ากัน ดอกเบี้ยที่ได้รับก็ต่างกันฟ้ากับเหวแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าหน้าที่ที่จะทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำแคบลงก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง ที่ต้องพยายามออกแบบและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มี “ความเหลื่อมล้ำ” ที่น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ๆ ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจในวงกว้างให้ประชาชนกับทุกคนเข้าถึงได้
รวมไปถึงเรื่องของการเข้าถึงความรู้และเครื่องมือทางการเงินอย่างเหมาะสม เพราะต้องยอมรับว่าการเงินฝากในธนาคารเพียงอย่างเดียว ณ เวลานี้ไม่สามารถสร้างมั่งคั่งหรือความเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก
แต่อีกมุมพี่ทุยเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตจากการเข้ามาของ “ฟินเทค” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลกของการเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ลดข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ทำให้คนทั่วไปสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินในต้นทุนที่ถูกลงได้
Comment