Bullwhip Effect คืออะไร ทำไมถึงทำให้ Fed เลิกขึ้นดอกเบี้ย

Bullwhip Effect คืออะไร ทำไมถึงทำให้ Fed เลิกขึ้นดอกเบี้ย

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Michael Burry ผู้จัดการ Hedge Fund แห่ง The Big Short ทวีตมุมมองสวนกระแสตลาดการลงทุนโดยกล่าวว่าโลกกำลังเผชิญกับ Bullwhip Effect ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องกลับทิศทางนโยบายการเงิน
  • Bullwhip Effect อธิบายถึงผลที่ตามมาของการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานที่ผิดพลาดจากผู้ขายสินค้าไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า
  • หากเกิด Bullwhip Effect อาจเจอกับภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ Fed ต้องกลับทิศนโยบายการเงินเป็นผ่อนคลาย ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์กลับมาแนวโน้มเป็นฟื้นตัว

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Michael Burry ผู้จัดการ Hedge Fund แห่ง The Big Short ทวีตมุมมองสวนกระแสตลาดการลงทุนโดยกล่าวว่าโลกกำลังเผชิญกับ Bullwhip Effect ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องกลับทิศทางนโยบายการเงิน โดยปัญหาใหญ่ในภาคค้าปลีกเป็นต้นเหตุของ Bullwhip Effect ครั้งนี้

Michael Burry ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ รวมไปถึงกลไกที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงิน แถมยังให้นักลงทุนไปหาข้อมูลเองใน Google เอง พี่ทุยจึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับ Bullwhip Effect รวมถึงกลไลและผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ จากปรากฏการณ์นี้ด้วย

Bullwhip Effect คืออะไร?

Bullwhip Effect หรือ ”ปรากฏการณ์แส้ม้า” เป็นการอธิบายถึงผลที่ตามมาของการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานที่ผิดพลาดจากผู้ขายสินค้าไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า ชื่อของปรากฏการณ์นี้ได้มาจากการสะบัดแส้ที่ใช้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยจากนั้นขยายออกไปเป็นการเคลื่อนไหวที่ใหญ่ตรงปลายแส้

ในบริบทของธุรกิจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์เมื่อผู้ขายสินค้าคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาจากข้อมูลยอดขาย ณ ตอนนั้นซึ่งเพิ่มขึ้น ผู้ขายสินค้าจึงซื้อสินค้ามาเก็บไว้เป็นสินค้าคงคลัง ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องเร่งผลิตสินค้าตอบรับตามคำสั่งซื้อ รวมไปถึงทำการสั่งซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น ร้านค้ามียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 5 ชิ้น เป็น 15 ชิ้น ร้านค้าคาดว่าจะขาดแคลนสินค้าจึงสั่งโรงงานผลิตสินค้า 20 ชิ้น ด้านโรงงานก็คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอีกจึงสั่งวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า 25 ชิ้น 

ทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทานต่างได้รับประโยชน์ แต่จะผิดพลาดและเกิดปรากฏการณ์นี้ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ส่งผลให้สินค้าคงคลังในห่วงโซ่อุปทานมากเกินความต้องการ

Bullwhip Effect คืออะไร ทำไมถึงทำให้ Fed เลิกขึ้นดอกเบี้ย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วกับ Target และ Walmart บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับตัวเลขสินค้าคงคลังของผู้ค้าส่งที่รายงานโดยสำนักสำรวจสำมะโนสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือน ส.ค. 2021 สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น 1.27% (MoM) ล่าสุดเดือนมี.ค. 2022 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 2.34% (MoM)

ผลกระทบ Bullwhip Effect ต่อนโยบายการเงินของ Fed

ที่ผ่านมา Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของเงินเฟ้อมาตลอด แต่นักลงทุนต่างกังวลว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ล่าสุด ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งพลังงาน โลหะ และอาหาร เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มีการเริ่มปรับตัวลดลง ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจในอนาคตว่าอาจเกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

อีกทั้งสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นผิดปกตินี้ จะเป็นฉนวนของปัญหาก็ต่อเมื่อกำลังซื้อลดลง ซึ่งกำลังซื้อจะลดลง ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว และดูเหมือนว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นแล้ว

ฉะนั้น บรรดาร้านค้าที่มีสินค้าคงคลังมากเกินจำเป็น ก็ต้องเริ่มระบายสินค้าก่อนที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวมากไปกว่านี้ รวมไปถึงอาจมีการปลดคนงานเพื่อลดการขาดทุน หากต้นทุนดำเนินงานสูงจนเกินไป ซึ่งนี่เองจะทำให้ประชาชนมีเงินใช้จ่ายน้อยลง ผลลัพธ์ต่อไปที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจก็คือ ภาวะเงินฝืด

แน่นอนว่านี่เป็นมุมมองที่สวนกระแสมุมมองนักลงทุนในตลาด แต่ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และแรงกดดันจากตลาดอสังหาฯ ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว

ดังนั้นหากเกิดภาวะเงินฝืดพร้อมเศรษฐกิจชะลอตัว Fed ต้องกลับทิศนโยบายเป็นผ่อนคลาย ปรับการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจ โดยขึ้นดอกเบี้ยเพียงแค่ครั้งละ 0.25% จากที่เคยถูกคาดว่าจะขึ้น 0.5-0.75% แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ Fed ต้องเห็นตัวเลข CPI หรือเงินเฟ้อ ลดลง 2-3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งต้องติดตามการประชุมตั้งเดือน ก.ย. เป็นต้นไป

ผลกระทบจากนโยบายเปลี่ยนทิศต่อสินทรัพย์การเงิน

นักลงทุนในตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ระดับ 3.5-3.75% ในปีนี้ แต่หากเป็นไปตามที่ Michael Burry คาดไว้ อัตราดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นไปถึงแค่ 2.5% เท่านั้น ดัชนีตลาดหุ้นมักจะเคลื่อนไหวรับข่าวล่วงหน้า และได้ปรับตัวลงรับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยตามคาดการณ์ 3.5-3.75% ไปแล้ว ซึ่งหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจาก Bullwhip Effect ก็แสดงว่าตลาดหุ้นพร้อมจะกลับตัวรับข่าวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นล่วงหน้าเช่นกัน

อัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรอายุ 2 ปี ได้ปรับตัวขึ้นมาที่ 3.5% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ก็ขึ้นมาเกินระดับ 3% แล้ว นับว่ารับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปเช่นกัน หากเศรษฐกิจถดถอยและ Fed กลับทิศทางนโยบายการเงิน เท่ากับว่าพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนก็มีมูลค่าที่เรียกได้ว่าถูก

เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลง ก็ลดแรงกดดันต่อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นปันผล เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ REITs รวมไปถึงทองคำด้วย ดังนั้นสินทรัพย์เหล่านี้ก็มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้

ทั้งนี้ผลต่อสินทรัพย์แต่ละตัว อาจมากน้อยต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นระดับมูลค่าของสินทรัพย์ การปรับประมาณการ ความเสี่ยงเฉพาะตัว หรือแม้กระทั่งข่าวที่ไม่คาดคิด

พี่ทุยจึงสรุปได้ว่าหากเกิด Bullwhip Effect จะส่งให้ Fed ต้องกลับทิศนโยบายการเงินเป็นแบบผ่อนคลาย สินทรัพย์การเงินมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นทันที อย่างน้อยก็ต้องรอให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวอย่างชัดเจน Fed จึงจะมั่นใจกลับทิศนโยบายการเงิน แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง นักลงทุนก็ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อหาจังหวะลงทุนในขณะที่ราคาสินทรัพย์การเงินกำลังเปลี่ยนแนวโน้มเช่นกัน

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile