นับเป็นข่าวใหญ่สำหรับคนถือบัตรเครดิตและจ่ายยอดขั้นต่ำ หลังธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมปรับ เพิ่มจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% จากเดิม 5% จนเกิดคำถามขึ้นว่า “ทำไมถึงต้องปรับเพิ่ม ?”
แล้วผลกระทบที่จะเกิดกับผู้บริโภคซึ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตเป็นอย่างไร ส่วนสถาบันการเงินก็กังวลกับมาตรการนี้เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนจะได้เงินคืนมากขึ้น
พี่ทุยจะขอพาไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นหนี้บัตรเครดิต วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับเพิ่มครั้งนี้ และจะเกิดผลดีหรือผลเสียกันแน่ แก้ปัญหาได้หรือไม่? ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย!!!
รายได้บริษัทบัตรเครดิตมาจากไหน
ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิต มีรายได้หลักอยู่ 3 อย่าง คือ
1. ค่าธรรมเนียม
ส่วนใหญ่บัตรเครดิตจะมีค่าธรรมเนียมรายปีซึ่งจะมีแจ้งอยู่ในใบสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็น 500 บาท 2,000 บาท หรือ 5,000 บาท รวมถึงได้ค่าธรรมเนียมจากการใช้จ่ายแต่ละครั้งโดยหักจากร้านค้าที่ผู้ถือบัตรไปซื้อสินค้า
2. ดอกเบี้ย
ธนาคารหรือสถาบันการเงินอนุมัติวงเงินให้ผู้ถือบัตรเครดิต เมื่อใช้ตามยอดวงเงินแล้วไม่สามารถชำระคืนได้ทั้งหมด ผู้ใช้ก็จะถูกคิดดอกเบี้ยตามที่กำหนด
3. รายได้อื่น ๆ
ค่าปรับการจ่ายค่าธรรมเนียมล่าช้า การทวงถามหนี้ ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อใช้จ่ายในต่างประเทศ ค่าโฆษณา
จ่ายยอดขั้นต่ำคืออะไร ต้องระวังอะไรบ้าง
การจ่ายยอดขั้นต่ำ คือ การจ่ายคืนเงินที่ใช้จ่ายไปเพียงแค่สัดส่วนที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินกำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5% การจ่ายยอดขั้นต่ำทำให้ต้องชำระดอกเบี้ยด้วยอัตราที่สูงถึง 16% ต่อปี
ปกติธนาคารหรือสถาบันการเงินจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (Grace period) โดยหากยังไม่พ้นระยะเวลาตรงนี้ ก็ยังไม่นับว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตและยังไม่คิดดอกเบี้ย
ถ้าเลือกจ่ายยอดขั้นต่ำในวันที่ครบกำหนดชำระ ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะยกเลิกระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย และเริ่มคิดดอกเบี้ยแบบรายวันกันตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเงินซื้อสินค้า โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 คิดดอกเบี้ยจากยอดทั้งหมดที่จ่ายไป นับจากวันที่จ่ายถึงวันก่อนครบกำหนดชำระ
ส่วนที่ 2 คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินที่ยังไม่ได้จ่ายคืน โดยคิดดอกเบี้ยนับจากวันที่จ่ายยอดขั้นต่ำถึงวันสรุปค่าใช้จ่ายเดือนถัดไป
ถ้าเลือกจ่ายยอดขั้นต่ำต่อไป ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งยอดหนี้และดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้น ระยะเวลาผ่อนชำระก็ยิ่งมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่อนไม่หมด
ธปท. เตรียม เพิ่มจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% จากเดิม 5%
ปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมปรับเพิ่มอัตราจ่ายยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำเป็น 8% หลังลดเหลือ 5% เพื่อช่วยเหลือช่วง COVID-19 และปี 2568 จะปรับเพิ่มอีกกลับไปใช้อัตรา 10% เพื่อควบคุมระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ด้านผู้ประกอบการธุรกิจบัตรเครดิตแสดงความกังวลว่าการเพิ่มอัตราจ่ายยอดบัตรเครดิตจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตร
สถานการณ์ตลาดบัตรเครดิต และหนี้ครัวเรือนไทย
ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2566 ปริมาณการใช้จ่ายทั้งในและต่างประเทศรวมกันอยู่ที่ 219,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย. 2565 ซึ่งอยู่ที่ 187,771 ล้านบาท ส่วนยอดค้างชำระเกิน 3 เดือน เดือน มิ.ย. 2566 อยู่ที่ 10,061 ล้านบาท ขณะที่เดือน มิ.ย. 2565 อยู่ที่ 9,527 ล้านบาท จะเห็นว่าตลาดบัตรเครดิตไทยเติบโตจากปีที่แล้วชัดเจน แต่ขณะเดียวกันการก่อหนี้ส่วนนี้ก็ส่งให้ระดับหนี้ครัวเรือนสูงเช่นกัน
ไตรมาส 1 ปี 2566 หนี้ครัวเรือนไทยคิดเป็น 90.6% ของ GDP นับเป็นระดับอันตราย ยอดหนี้รวม 766,000 ล้านบาท แม้หนี้ซื้ออสังหาฯ จะเป็นสัดส่วนอันดับแรกของหนี้ครัวเรือนที่ 34% แต่หนี้ที่ตามมาเป็นอันดับสองก็คือ หนี้อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหนี้บัตรเครดิตอยู่ด้วย
เพิ่มจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% กระทบสถาบันการเงินและผู้บริโภคอย่างไร
การปรับเพิ่มอัตราจ่ายยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำสร้างความกังวลให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพราะจะก่อให้เกิดหนี้เสีย (NPL) มากขึ้น เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตเมื่อมีการปรับเพิ่มอัตราจ่ายยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 10%
รายได้หลักของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิตมาจากดอกเบี้ยที่เก็บจากผู้ที่ชำระยอดขั้นต่ำ โดยกลุ่มที่จ่ายยอดขั้นต่ำนี้มีสัดส่วนประมาณ 20-25% ของทั้งระบบบัตรเครดิตไทย ดังนั้นการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำครั้งนี้ มีโอกาสทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้น เพราะผู้บริโภคมีภาระหนี้มากขึ้น ก็กระทบต่อรายได้ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่จะลดลง
แต่มองอีกมุมจากรายได้ของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิตพบว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมที่ใช้จ่ายแต่ละครั้งไม่ถึง 2-3% รายได้หลักของธนาคารหรือสถาบันการเงินจึงมาจากการคิดดอกเบี้ย โดยกลุ่มที่จ่ายยอดขั้นต่ำมีสัดส่วนประมาณ 20-25% ของทั้งระบบ ส่วนที่เหลือจ่ายเต็มจำนวน ดังนั้นหากการปรับเพิ่มครั้งนี้จะทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้น ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ธนาคารหรือสถาบันการเงินเช่นกัน
จุดนี้คงมีแต่ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้กับกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้กลุ่มที่มีกำลังจ่ายต่ำก็ได้รับผลกระทบมาก
ส่วนผู้บริโภคที่เป็นหนี้บัตรเครดิตก็เตรียมตัวรับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพราะส่วนใหญ่จะมีหนี้บัตรเครดิตไม่ต่ำกว่า 1 ใบ ทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียอย่างที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินกังวล (เสียรายได้)
นอกจากนี้ผู้บริโภคที่เป็นหนี้บัตรเครดิตต้องกังวลอีกจากการที่ชมรมธุรกิจบัตรเครดิตเตรียมหารือกับ ธปท. เพื่อขอขยายเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ปัจจุบันอยู่ที่ 16% ซึ่งปรับลดจาก 18% เมื่อปี 2563 เนื่องจากต้นทุนการเงินการประกอบธุรกิจสูงขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เมื่อดูภาพรวมแล้วนับว่ามีแต่ผลกระทบเชิงลบต่อทั้งระบบ และคงไม่แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างที่ ธปท. ต้องการ หากจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง คงต้องหันกลับไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งครัวเรือนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย มากกว่านั้นต้องมีการเรียนการสอน การให้ความรู้การเงินส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการก่อหนี้เกินตัว
อ่านเเพิ่ม