ทำไม สินค้าแม่และเด็ก ขายดี ทั้งที่เด็กเกิดน้อยลง ?

ทำไม สินค้าแม่และเด็ก ขายดี ทั้งที่เด็กเกิดน้อยลง ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • อัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลก มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 1950 เคยอยู่ที่ 4.84 คน ต่อแม่หนึ่งคน ลดลงเหลือ 2.23 คน ในปี 2021 และคาดว่าจะเหลือแค่ 1.59 ในปี 2100 สำหรับในไทย มีอัตราการเจริญพันธุ์รวมอยู่ที่ 1.1 ในปี 2022
  • แม้อัตราการเกิดลด แต่ตลาดสินค้าเด็กทารกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากแรงผลักดันที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องการสินค้าเด็กที่มีคุณภาพ ปลอดภัยสำหรับเด็กมากขึ้น โดยปี 2023 คาดว่าตลาดรวมสินค้าสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็กทั่วโลกจะอยู่ที่ 320.65 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5.9% ต่อปี
  • ตลาดสินค้าเด็กในไทย ปี 2024 คาดว่าจะมีมูลค่า 33.27 ล้านดอลลาร์ คาดว่าจะเติบโต +3.98% ต่อปี ในปี 2024-2028 โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดเติบโตไม่แตกต่างจากต่างประเทศ คือ ผู้ปกครองต้องการซื้อของที่มีคุณภาพมากขึ้น ขณะที่เทรนด์การให้เช่า และการขายสินค้ามือสองของเด็ก ก็เข้ามาในไทยเช่นเดียวกับที่มีในต่างประเทศ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมืองไทยกำลังเผชิญปัญหาอัตราการเกิดต่ำ ข้อมูลล่าสุดปี 2022 อัตราเด็กเกิด 1.1 คน ต่อแม่หนึ่งคน จำนวนเด็กเกิดใหม่ทั้งหมด 485,085 คน ต่ำสุดในรอบ 70 ปี แต่ทั้ง ๆ ที่เด็กเกิดใหม่น้อยขนาดนี้ แต่ทำไม สินค้าแม่และเด็ก ยังขายดี ตลาดยังเติบโตอยู่ วันนี้ พี่ทุยจะชวนทุกคนค้นหาคำตอบกัน 

แนวโน้มทั่วโลก เด็กเกิดใหม่น้อยลง

จากผลศึกษาเกี่ยวกับอัตราการเจริญพันธุ์โลก พบว่า โลกเรามีอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงมาตั้งแต่ปี 1950 แล้ว และการลดลงนี้ ก็จะยังมีต่อเนื่องไปอีก ซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป โดยการเปลี่ยนแปลงของอัตราเจริญพันธุ์บนโลกนั้น โดยรายงานการศึกษาภาวะโรค การบาดเจ็บ และปัจจัยเสี่ยงทั่วโลก ในปี 2021 ของสถาบันเพื่อการวัดและประเมินสุขภาพ (IHME) แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ระบุข้อมูลไว้ดังนี้  

อัตราการเจริญพันธุ์ของโลก (จำนวนเด็กที่เกิดมามีชีวิต : สตรีวัยเจริญพันธุ์ 1,000 คน)

  • ปี 1950 อัตราเจริญพันธุ์ 4.84
  • ปี 2021 อัตราเจริญพันธุ์ 2.23
  • ส่วนปี 2100 อัตราเจริญพันธุ์ 1.59 (คาดการณ์) 

ที่มา :  thelancet.com

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบข้ามชาติ ข้ามวัฒนธรรม ที่นำไปสู่การมีครอบครัวขนาดเล็ก โดยประเด็นหนึ่งที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนั้น ก็มาจากผู้หญิงมีโอกาสทางการศึกษา การจ้างงานมากขึ้น และยังเข้าถึงบริการด้านการคุมกำเนิดและอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดีขึ้นด้วย  

ขณะที่ นักวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (WHO) มองว่า อีกส่วนหนึ่งของอัตราเจริญพันธุ์ที่ลดลง ก็มาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลโดยตรงทำให้ต้นทุนที่เกี่ยวกับเด็กเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการรับรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เด็กจะเสียชีวิต รวมถึงค่านิยมที่เปลี่ยนไปเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และคนยุคใหม่เริ่มเติมเต็มความต้องการได้ด้วยตนเอง จึงเป็นส่วนผสมที่ส่งผลให้อัตราการเจริญพันธุ์ลดลงเช่นกัน 

อย่างไรก็ตามหากเราต้องการรักษาระดับประชากรโลกให้คงที่ ไม่ลดลงไปมากกว่านี้ ประเทศต่าง ๆ จะต้องมีอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่เด็กเกิดมามีชีวิต 2.1 คนต่อสตรีวัยเจริญพันธุ์ 1,000 คน จึงจะสามารถทดแทนประชากรที่เสียชีวิตไปได้ ซึ่งจากผลการศึกษาข้างต้น พบว่า ในปี 2021 มีประมาณ 46% ของประเทศบนโลกใบนี้ ที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนี้ซึ่งเป็นระดับที่จะทดแทนได้ และจำนวนประเทศที่ตกเกณฑ์บนโลกอาจจะเพิ่มเป็น 97% ในปี 2100 

ทั้งนี้ พบว่า อัตราการเกิดและมีชีวิตบนโลกในฝั่งภูมิภาคที่มีรายได้ต่ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคาดว่าจะเพิ่มจาก 18% ของอัตราการเกิดและมีชีวิตทั่วโลก ในปี 2021 เป็น 35% ในปี 2100 ซึ่งถ้านับเฉพาะแอฟริกาใต้สะฮาราอย่างเดียว เราพบว่า จะมีสัดส่วนของเด็กเกิดมีชีวิตถึง 1 ใน 2 ของเด็กที่เกิดทั่วโลกในปี 2100 เลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับประเทศที่มีรายได้สูง ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนแรงงานลดลงเรื่อย ๆ 

คราวนี้มาดูข้อมูลของไทยกันบ้างว่าเป็นยังไง

อัตราการเกิดในไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน 

อัตราการเกิดในไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปี 2022 ไทยมีอัตราการเจริญพันธุ์รวม อยู่ที่เด็ก 1.1 คน ต่อสตรีวัยเจริญพันธุ์ 1,000 คนเท่านั้น ส่วนจำนวนเด็กเกิดมีเพียง 485,085 คน ซึ่งตัวเลขนี้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขเด็กเกิดในแต่ละปีเคยแตะ 1 ล้านคน ครั้งสุดท้าย ในปี 1983 อยู่ที่ 1,055,802 คน 

แต่ถึงจำนวนเด็กเกิดจะลดลง ยังไงซะปี 2024 นี้ ก็แอบมีความหวังว่า จำนวนเด็กเกิดใหม่จะเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากปีนี้เป็นปีมังกรทอง ซึ่งตามความเชื่อของคนจีนแล้ว นักษัตริย์มังกร เป็นราศีที่มีมงคลอย่างมาก ทำให้คนจีนอยากมีลูกในปีนี้ ซึ่งถ้าเป็นไปตามปฏิทินจีน ปีมังกรทองเริ่มตั้งแต่วันตรุษจีน ซึ่งก็คือวันที่ 10 ก.พ. 2024 แต่ถ้านับตามปฏิทินไทย ปีมังกรทองก็เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2024 

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เพิ่งออกบทความพิเศษมาเมื่อไม่นานมานี้ คาดการณ์ว่า ในปี 2083 ประชากรไทยจะเหลือแค่ 33 ล้านคน หรือ 50% ของประชากรในปัจจุบันที่มี 66 ล้านคน ด้วยสาเหตุสำคัญของการเกิดที่ลดลงมาก เพราะค่านิยมการมีบุตรเปลี่ยนไป มีความกังวลกันเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเมื่อมีบุตร และด้วยปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้กระทรวงสาธารณสุข มีการส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ

ทั้งนี้ การเพิ่มจำนวนเด็กเกิด อาจจะมีหวังขึ้นมาได้ในปี 2024 เพราะพลังของปีมังกร ที่บทความพิเศษของ ศศินทร์ ก็เชื่อว่า อาจเป็นอีกแรงผลักดันช่วยให้มีแนวโน้มเด็กเกิดใหม่สูงขึ้น เพราะจากข้อมูลสถิติการเกิดจำแนกตามปีเกิด นับตั้งแต่ปี 1950-2023 พบว่า ปี 1964 มีคนเกิดเยอะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในไทย ที่ 1,212,162 คน ซึ่งปีนั้นก็ตรงกับปีมังกร และถ้าดูเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของอัตราการเกิดย้อนหลัง 2 ปี ก็พบว่า เมื่อถึงปีมังกร หรือหลังจากปีมังกร มีแนวโน้มที่เด็กเกิดใหม่จะสูงขึ้นทุกครั้ง

จำนวนการเกิดของเด็กในปีมังกร เทียบกับปีอื่น ๆ ระหว่างปี 1950-2023 (พ.ศ.2493-2566)

จำนวนการเกิดของเด็กในปีมังกร เทียบกับปีอื่น ๆ ระหว่างปี 1950-2023 (พ.ศ.2493-2566)

เด็กเกิดน้อยลง แต่ทำไม สินค้าแม่และเด็ก ขายดี?

คำถามคือ เด็กทั่วโลกเกิดลดลง เด็กไทยก็เกิดลดลง แต่ปีนี้เป็นปีมังกร ปีแห่งความหวังว่าจำนวนเด็กเกิดจะเพิ่มขึ้น แล้วการเติบโตของตลาดสินค้าสำหรับเด็กทารกล่ะเป็นยังไงบ้าง พี่ทุยจะพาไปดูกัน   

ภาพรวมตลาดสินค้าเด็กทั่วโลก

  • ปี 2023 มูลค่าตลาด 320.65 พันล้านดอลลาร์
  • ปี 2024-2030 คาดการณ์ มูลค่าตลาด +5.9% ต่อปี

ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต 

  • ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น มีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น และมีความพรีเมียมขึ้น
  • การตระหนักรู้ของผู้ปกครองเรื่องสุขภาพและสุขอนามัยของเด็กทารกเพิ่มขึ้นอย่างมาก 
  • ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์จำนวนมากแนะนำให้ผู้ปกครองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลสำหรับทารกเป็นประจำเพื่อบำรุงผิวทารก 

ที่มา : grandviewresearch.com

โดยภาพรวมนั้น พบว่า ผู้ปกครองทั่วโลกจะมีความระมัดระวังมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าเด็กทารก  เช่น อาหารสำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและอุปกรณ์อาบน้ำเด็ก ผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของทารก 

ตัวอย่างของกรณีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็กทารก ก็จะเน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมี และไม่เป็นอันตรายมากขึ้น เพราะว่ามีความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของเด็ก เช่น การติดเชื้อราและแบคทีเรีย ที่เกิดจากผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและผลิตภัณฑ์อาบน้ำ เป็นต้น

นอกจากนี้ การที่ทารกและเด็กเล็กมีแนวโน้มเจ็บป่วยจากอาหารได้ง่าย เพราะภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ก็ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเด็กที่มีความพรีเมียมและปลอดภัยมากขึ้น เช่น อาหารเด็กแบบไม่มีกลูเตน 

ขณะที่ การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้าน โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ เช่น อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็กเติบโต จากการที่กลุ่มนี้มีกำลังซื้อมากขึ้น ก็ต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใช้แล้วทิ้ง ต้องซื้อหมุนเวียนต่อเนื่อง เพื่อดูแลสุขภาพของเด็ก  

เทรนด์สินค้าเด็กที่มาแรงในต่างประเทศ 

  • การซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ที่ได้ทั้งส่วนลดและยังมาส่งถึงหน้าบ้าน 
  • การใช้พลาสติกปลอดสาร BPA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และวัสดุที่เป็นออร์แกนิก
  • การเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตสินค้าเด็กในตลาดที่เป็นบริษัทเกิดใหม่และมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์ 

ที่มา : grandviewresearch.com

นอกเหนือจากเทรนด์สินค้าเด็กในโลกที่พี่ทุยบอกไปแล้ว ก็ยังมีเทรนด์อื่นที่มาแรงตามการเติบโตของสินค้าเด็กเช่นกัน นั่นก็คือ เทรนด์การเช่า และการขายสินค้าเด็กมือสอง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก ราคาสินค้าที่แพงขึ้น ทั้งเสื้อผ้า ของเล่นเด็ก จากการที่สินค้าสามารถกระจายตัวให้จำนวนคนได้น้อยลงกว่าในอดีต เป็นที่มาที่ทำให้เกิดเทรนด์ให้ยืม ให้เช่า ของเล่นและหนังสือสำหรับเด็กในต่างประเทศ

โดยมีการจัดตั้งห้องสมุดของเล่นในชุมชน ที่ผู้ปกครองสามารถจะยืมของเล่นรวมถึงหนังสือไปให้เด็กได้ ขณะที่ความต้องกาารเช่าของเล่นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นำไปสู่การเปิดบริการเช่าของเล่นนั่นเอง ส่วนอีกเทรนด์ที่มาแรงไม่แพ้กัน คือ ตลาดของมือสองสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็กก็เติบโตจากราคาสินค้าเด็กที่แพงขึ้นไม่ต่างกัน  

แนวโน้มการเติบโตของ สินค้าแม่และเด็ก แต่ละหมวด  

แนวโน้มการเติบโตของ สินค้าแม่และเด็ก แต่ละหมวด  

มาดูตลาดสินค้าเด็กในไทยกันบ้างดีกว่า ว่าจะโตดี โตแรงแบบต่างประเทศมั้ย  

ตลาด สินค้าแม่และเด็ก ในไทย 

  • คาดการณ์มูลค่าตลาดสินค้าเด็กในไทย ปี 2024 อยู่ที่ 33.27 ล้านดอลลาร์
  • คาดการณ์การเติบโตของตลาดสินค้าเด็กในไทย +3.98% ต่อปี ในปี 2024-2028
  • ตลาดสินค้าเด็กในไทยเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะ มีความต้องการผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเพิ่มมากขึ้น และมุ่งเน้นไปที่สินค้าออร์แกนิก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

มูลค่าตลาด สินค้าแม่และเด็ก ในไทย

แบรนด์ต่าง ๆ ที่ครองส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็กในไทย (ข้อมูล ณ ปี 2022)

  • Kodomo 52%
  • CeraVe 16%
  • Babi mild 7%
  • Dove 5%
  • La Roche-Posay 5%

ที่มา : Statista Market Insights

พี่ทุยจะบอกว่า ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศเท่านั้นที่มีเทรนด์การเปิดธุรกิจให้เช่า หรือขายสินค้ามือสองของเด็ก เพราะในไทยเอง ก็รับเทรนด์นี้มาเช่นกัน ซึ่งก็มีทั้งผู้ประกอบการที่ออกมาเปิดธุรกิจให้เช่าของเล่น ของใช้สำหรับเด็ก และตลาดสินค้ามือสองของเด็กนั่นเอง 

จะเห็นได้ว่า ขนาดเด็กเกิดน้อยลง ของเด็กแพงขึ้น แต่ตลาดสินค้าเด็ก ก็ยังคงเติบโตได้ ไม่ว่าจะในไทย หรือในระดับโลก เห็นแบบนี้แล้ว พี่ทุยมองว่า หากใครมีไอเดียที่ดี จะมองหาช่องทางการเจาะตลาดนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ 

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile