เวลาเราต้องการลงทุนในตราสารหนี้ หรือ หุ้นกู้ภาคเอกชนต่าง ๆ เช่น การออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในกิจการ จะมีอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating บอกเสมอตั้งแต่ AAA ไปจนถึง D แล้วการจัดอันดับความน่าเชื่อถือคืออะไร สามารถช่วยอะไรเราในการลงทุนได้บ้าง
Credit Rating คืออะไร
การจัดอันดับอันดับความน่าเชื่อถือ เป็นการประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ โดย “สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ” ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในประเทศไทยมี 2 แห่งคือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่งการจัดอันดับฯ ที่ใช้กันเป็นประจำ มีอยู่ 2 แบบใหญ่ คือ 1. การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตัวองค์กร ทั้งรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ซึ่งการจัดอันดับฯ นี้จะสะท้อนความแข็งแกร่งขององค์กรนั้น ๆ โดยดูจากฐานะขององค์กร ร่วมกับปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
2. การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้แต่ละตัว ที่จะสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งหากตราสารหนี้นั้นออกโดยภาครัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ เรียกว่า “พันธบัตร” หากออกโดยภาคเอกชนเรียกว่า “หุ้นกู้”
ปัจจัยอะไรที่ใช้ในการตัดสินว่าองค์กร หรือ ตราสารหนี้ นั้นดีหรือไม่ดี
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจัดอันดับฯ ใช้ปัจจัยต่าง ๆ ในการพิจารณา ดังนี้
1. อันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารของประเทศที่ออกหุ้นหู้ ประกอบด้วย ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมองสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ภายในประเทศเป็นหลัก
2. ปัจจัยรายธนาคาร รวมไปถึงปัจจัยของตัวธุรกิจเอง ที่มุ่งดูฐานะทางการเงินและความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ
และเมื่อธุรกิจนั้นมีการออกหุ้นกู้แล้ว บริษัทจัดอันดับฯ จึงนำอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารที่เป็นผุ้ออกหุ้นกู้ให้ มาพิจารณาร่วมกับอันดับความน่าเชื่อถือของธุรกิจ หรือ การสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับจากบริษัทที่ออกหุ้นกู้ (Systemic Support) กลายเป็น อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ นั่นเอง
Credit Rating ของตราสารหนี้
อันดับเครดิตยิ่งสูง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็ยิ่งต่ำ และอันดับความน่าเชื่อถือของการลงทุนในตราสารหนี้ จะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ Investment Grade หรือ กลุ่มน่าลงทุน (AAA ถึง BBB-) แต่ให้ผลตอบแทนไม่มาก
และ Speculative Grade หรือกลุ่มเก็งกำไร (BB+- ลงไปจนถึง D) หรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Non-Investment Grade แต่ให้ผลตอบแทนสูง ตามหลัก High Risk, High Return นั่นเอง และสำหรับผู้ลงทุนรายบุคคล จะมีสิทธิลงทุนในหุ้นกู้ที่มีการจัดอันดับเท่านั้น ไม่เปิดให้ลงในหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับ (Unrated) เพราะความเสี่ยงสูง มีโอกาสสูญเงินต้นเยอะมาก
อีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือยังสามารถขยับขึ้นลงได้ตลอดเวลา โดยบริษัทจัดอันดับเครดิต จะวิเคราะห์จากผลการดำเนินงาน และความเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก ที่มีผลกระทบต่อบริษัท ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตตลอดระยะเวลาการลงทุน
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของภาคเอกชน
อันดับความน่าเชื่อถือเป็นลักษณะที่สำคัญของตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือหุ้นหู้ ซึ่งแตกต่างจากพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ที่ถือเป็นตราสารหนี้ที่ปราศจากความเสี่ยงด้านเครดิตเนื่องจากรัฐบาลมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในประเทศ จากการที่รัฐบาลมีอำนาจในการเก็บภาษีเพื่อมาใช้คืนหนี้นั่นเอง
ดังนั้นพันธบัตรรัฐบาลจึงถือเป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk Free) แต่หากรัฐบาลต้องการออกตราสารไปขายต่างประเทศก็จะถูกจัดอันดับเครดิตเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชน การจัดอันดับเครดิตจึงเป็นข้อมูลหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณาว่าผู้ออกตราสาร ซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้จะมีความสามารถในการจ่ายคืนมากน้อยแค่ไหน
การเลือกลงทุนในตราสารหนี้ หรือ หุ้นกู้ ก็ต้องพิจารณาทั้งธนาคารที่เป็นผู้ดูแล ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ต้องการออกหุ้นกู้ รวมไปถึงระดับความน่าเชื่อถือของตัวหุ้นกู้เอง เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินต้นสูญหายในอนาคต
อ่านคำศัพท์การเงินเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก!