ตอนนี้ซีรีส์การเงินตอน “ลงทุนหุ้นเป็นใน 30 วัน” ก็ได้เดินทางมาใกล้จะถึงโค้งสุดท้ายของวิธีการลงทุนแบบพื้นฐาน (VI) กันแล้ว และถ้าเราเรียนรู้วิธีการลงทุนแบบพื้นฐานจบพี่ทุยก็จะพาทุกคนไปเรียนรู้วิธีการลงทุนหุ้นด้วยการใช้เทคนิค (Technical) กัน ซีรีส์การเงินในตอนนี้พี่ทุยจะพาทุกคนไปรู้จักกับการคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี CAN SLIM กัน และพี่ทุยจะมีกรณีศึกษาเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้ดูกันด้วย ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย..
CAN SLIM คืออะไร ?
CANSLIM เป็นทฤษฎีคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีโดย William O’Neil ซึ่ง CANSLIM เป็นตัวย่อของเงื่อนไข 7 ข้อที่ควรนำมาพิจารณาว่าหุ้นตัวนั้น ๆ โดยเงื่อนไขทั้ง 7 ข้อ มีดังนี้
C – Current Quarterly Earnings Per Share
กำไรต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสล่าสุดเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วต้องมีการเติบโตขึ้นมากกว่า 25% โดยข้อที่ควรระวังของข้อนี้ ก็คือเราจะจะต้องเปรียบเทียบกำไรต่อหุ้น หรือ EPS กับ ไตรมาสปีนี้ กับไตรมาสเดียวในในปีก่อนหน้านี้เท่านั้น เพราะ ถ้าเราเปรียบเทียบกันคนละไตรมาสข้อมูลที่ได้อาจจะบิดเบือนไป เพราะแต่ละธุรกิจก็จะมี High Season และ Low Season ที่แตกต่างกัน
A – Annual Earnings
ตามหลักทฤษฎีของ CAN SLIM จริง ๆ แล้ว บอกว่าหุ้นที่ดีจะต้องมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตติดอย่างน้อย 25% เป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน แต่พี่ทุยคิดว่าสำหรับประเทศไทยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ก็เพียงพอแล้ว
N – New Product
หมายถึง ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัท ถ้าบริษัทไหนมีการออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาแล้วผลิตภัณฑ์ตัวนั้นประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ ก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ในข้อนี้
S – Supply & Demand
หมายถึง ปริมาณการความต้องการซื้อขายของหุ้นตัวนั้น ซึ่งปริมาณการซื้อขายถือว่ามีความสำคัญ เพราะบางทีเราคัดหุ้นมาได้ดี แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่องราคาก็ปรับขึ้นได้ยากอยู่ดี โดยสิ่งที่เราจะเอามาวัดเกณฑ์ในข้อนี้ก็คือ ปริมาณการซื้อขาย หรือ Volume ถ้าหุ้นที่เราสนใจมีปริมาณการซื้อขายเยอะก็ถือว่าดี โดยเราสามารถเข้าไปดูปริมาณการซื้อขายได้ที่ www.settrade.com
และอีกหนึ่งสิ่งเราเอาไว้ดูว่าหุ้นตัวนั้นราคาขึ้นลงได้ง่ายมั้ยนั่นก็คือ ค่า Free Float หรือ ปริมาณหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายได้ ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูข้อมูลนี้ได้ที่ www.set.or.th ถ้าค่า Free Float ต่ำ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะถูกควบคุมโดยนักลงทุนรายใหญ่ ราคาหุ้นตัวนั้นก็จะสามารถขยับขึ้นลงได้ง่าย
L – Leader or Laggard
หมายถึง การดูว่าบริษัทนั้นเป็นผู้นำหรือผู้ตามในอุตสาหกรรมนั้น โดยคำว่าผู้นำ (Leader) สำหรับพี่ทุยจะหมายถึง หุ้นที่เวลาราคาขึ้นก็จะขึ้นมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมและเวลาราคาลงก็จะลงน้อยกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม
จริง ๆ การจะดูว่าหุ้นตัวไหนเป็น Leader หรือ Laggard ในอุตสาหกรรมนั้น ทางต่างประเทศมักจะนิยมใช้ค่า Relative Price Strength แต่ในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีข้อมูลตรงนั้น พี่ทุยเลยแนะนำให้ดูราคาเปรียบเทียบระหว่างบริษัทที่เราสนใจเทียบกับราคาของอุตสาหกรรมนั้น ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูข้อมูลนี้ได้ที่ www.set.or.th
ซึ่งการซื้อหุ้นที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมถือว่ามีความสำคัญ เพราะ จะทำให้เรามีโอกาสได้กำไรมากกว่า สมมติว่า ในช่วงนั้นมีข่าวที่เป็นปัจจัยบวกกับอุตสาหกรรมเข้ามา ทำให้มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ประเด็นก็คือหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมมีหลายสิบตัว ถ้าเราดันไปเลือกตัวที่เป็นผู้ตาม (Laggard) ในอุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะให้หุ้นเราไม่ปรับตัวขึ้นเลยก็ได้
I – Institution
หุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์ในข้อนี้จะต้องมีกองทุนเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยเหตุผล “CAN SLIM” กำหนดเกณฑ์ข้อนี้ขึ้นมาก็เพราะกองทุนถือเป็นผู้เล่นรายความสำคัญ เพราะ 2 เหตุผล คือ
- เงินทุนจำนวนมหาศาล
การที่ราคาหุ้นจะขึ้นได้ก็ต้องอาศัยจำนวนเงินเข้าซื้อที่มาก ดังนั้น การขยับตัวแต่ละทีของกองทุนก็จะมีอิทธิพลกับราคาหุ้นค่อนข้างมาก ถ้าวันไหนที่กองทุนตัดสินใจซื้อหุ้นราคาหุ้นก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นมาก แต่เราก็ต้องระวังแรงขายจากกองทุนเหมือนกัน เพราะ ถ้าเขาขายทีราคาก็อาจจะลงหลายบาทได้เหมือนกัน
- กองทุนจะคอยทำหน้าที่แทนเรา
โดยปกติแล้วบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นจะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกันทุกปี โดยแน่นอนว่าคนที่จะถูกเชิญไปเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นในแต่ละครั้ง ก็คือผู้ที่มีหุ้นตัวนั้นอยู่ในพอร์ต แต่เชื่อพี่ทุยเถอะว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างเราคงไม่มีโอกาสที่จะมีสิทธิ์มีเสียงในการโหวตอะไรสักเท่าไหร่ คนที่จะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรโดยส่วนมากแล้วจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเท่านั้น
M – Market Direction
ทิศทางของตลาดหุ้นโดยรวมในช่วงนั้น ๆ ก็มีความสำคัญเหมือนกัน เพราะต่อให้เราคัดหุ้นมาดีแค่ไหน แต่ถ้าในช่วงนั้นตลาดหุ้นเป็นตลาดขาลง หุ้นที่เราคัดเลือกมาก็อาจจะปรับตัวลงตามตลาดได้ โดยวิธีดูว่าในช่วงนั้นตลาดหุ้นโดยรวมเป็นตลาดขาขึ้นหรือตลาดขาลง เราจะต้องอาศัยการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค (Technical) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ด้วย ซึ่งถ้าหลายคนยังไม่เข้าใจในตอนนี้ก็ไม่แปลกอะไรเพราะซีรีส์การเงินตอนที่ผ่าน ๆ มา เรายังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิค (Technical) กันเลย แต่เดี๋ยวหลังจากนี้พี่ทุยจะเอาการวิเคราะห์หุ้นแบบ Technical มาสอนทุกคนกัน หรือจะเปิดบัญชีกับ LH Securities วันนี้ เพื่อเรียนคอร์สเทรดหุ้นออนไลน์ฟรีกับพี่ทุยก็ได้นะ คลิกเลย
ตัวอย่างการวิเคราะห์ CAN SLIM
สมมติว่าเราเลือกหุ้น CBG มาเป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์ “CAN SLIM”
C – Current Quarterly Earnings Per Share
ข้อมูลกำไรต่อหุ้น (EPS) ของหุ้น CBG มีดังนี้
- ไตรมาส 4 ของปี 2563 CBG มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.87 บาท
- ส่วนไตรมาส 4 ของปี 2562 มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.80 บาท
ดังนั้นเราจะได้ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ไตรมาส 4 ของปี 63 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 62 เพียง ปีที่ 8.75% ซึ่งถือว่าน้อยกว่า 25% แต่ถ้าเราเปรียบเทียบกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ CBG ในไตรมาสอื่น ๆ ของปี 63 เทียบกับปี 62 จะได้ว่า
- EPS ของไตรมาส 3 ปี 2563 มีค่าเท่ากับ 0.97 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ที่ 0.80 บาท ถึง 32.8%
- ต่อมา EPS ของไตรมาส 2 ปี 2563 มีค่าเท่ากับ 0.88 บาท ซึ่งมากกว่า EPS ไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ที่ 0.55 บาท ถึง 60%
- และสุดท้าย EPS ของไตรมาส 1 ปี 2563 มีค่าเท่ากับ 0.80 บาท มากกว่า EPS ในไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ที่ 0.42 บาท ถึง 90.47%
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าที่ผ่านมาข้อมูลทางการเงินของหุ้น CBG ผ่านเกณฑ์ข้อนี้มาโดยตลอด พึ่งจะมาไม่ผ่านในไตรมาส 4 ของปี 2563 นี้เอง ซึ่งสำหรับพี่ทุยแล้วก็ถือว่าผ่านนะ เพราะเราต้องเข้าใจว่าในไตรมาส 4 (เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม) ของปี 2563 เราเจอกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่พอดี เพราะฉะนั้น ถ้าเราก็เอาให้ชัวร์จริง ๆ ว่า หุ้น CBG ผ่านเกณฑ์ข้อนี้มั้ย ก็อาจจะต้องรอดู EPS ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ว่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ของปี 2563 เกิน 25% หรือเปล่า
A – Annual Earnings
จากรูปเราจะเห็นว่า เราสามารถสรุปได้ ดังนี้
- กำไรต่อหุ้นของปี 2561 ลดลงจากปี 2560 ถึง 7.2% [(1.16/1.25)-1]*100
- กำไรต่อหุ้นของปี 2562 เติบโตจากปี 2561 มากถึง 166.3% [(2.51/1.16)-1]*100
- ต่อมากำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของปี 2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 37.8% [(3.53/2.56)-1]*100
จากข้อมูลตรงนี้เราจะเห็นว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของหุ้น CBG ที่เติบโตมากกว่า 25% มีอยู่ 2 ปีด้วยกัน นั่นคือ ปี 2562 และ ปี 2563 ดังนั้น ถ้ากำไรต่อหุ้นของหุ้น CBG ในปี 2564 เติบโตขึ้นมากกว่า 25% เทียบกับปี 2563 ก็จะถือว่า CBG ผ่านเกณฑ์ข้อนี้ เพราะมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตขึ้นมากกว่า 25% ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี
N – New Product
บริษัท CBG มีการออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่างเครื่องดื่มวิตามินซี Woody C+ Lock และผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัท
S – Supply & Demand
ปริมาณ Free Float ของ CBG ในปี 2563 อยู่ที่ 26.36% ซึ่งการที่ Free Float ต่ำ เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน ดังนั้นราคาหุ้น CBG ก็มีโอกาที่จะปรับขึ้นได้ง่าย ซึ่งเราสามารถเข้าไปดู Free Float ได้ที่ www.set.or.th
L – Leader or Laggard
จากรูป เราจะเห็นว่าเวลาราคาหุ้น CBG (เส้นสีน้ำเงิน) ขึ้น ส่วนใหญ่แล้วก็เพิ่มขึ้นมากกว่าอุตสาหกรรมอาหาร และเวลาลงราคา CBG จะปรับลงน้อยกว่าอุตสาหกรรม ดังนั้นเราก็สรุปได้ว่า CBG ถือเป็น Leader หรือผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร
I – Institution
จากรูปเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก ของ CBG เราจะเห็นว่าในบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดจะมีกองทุนหรือนักลงสถาบันอยู่เพียงกองเดียว นั่นก็คือ UBS AG Singapore Branch ถึงแม้จะมีกองทุนเพียงกองทุนเดียวทีถือหุ้น CBG อยู่ แต่ก็เป็นกองทุนที่ค่อนข้างใหญ่และมีชื่อเสียงระดับโลก เพราะฉะนั้น เราก็สบายใจได้ส่วนหนึ่งว่าเราเลือกหุ้นที่มีกองทุนระดับโลกถือหุ้นอยู่
M – Market Direction
จากรูปถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้เรียนเรื่อง Technical กัน แต่เราก็พอจะเห็นว่าราคาของตลาดหุ้นไทย (SET) กระเพื่อมขึ้นมาโดยตลาด แสดงว่าตอนนี้ทิศทางตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้นนั่นเอง และใครที่ยังไม่เข้าใจเรื่อง Technical ซีรีส์การเงินในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าพี่ทุยจะมาสอนเรื่อง Technical เช่น การดูกราฟหุ้นให้ทุกคนฟังกันรับรองว่าถ้าติดตามกันจนจบต้องทำเป็นกันอย่างแน่นอน
และนี่ก็เป็นทฤษฎีและกรณีศึกษาทั้งหมดของหุ้นด้วยวิธีการวิเคราะห์หุ้นด้วยวิธี “CAN SLIM” พี่ทุยหวังว่าซีรีส์การเงินในตอนนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนกันบ้างไม่มากก็น้อย และถ้าใครอ่านซีรีส์การเงินตอนนี้จนจบพี่ทุยก็อยากให้ทุกคนลองเอาไปใช้งานจริงและลองทำตามกันดูรับรองว่าทุกคนทำได้อย่างแน่นอน..
เปิดบัญชีกับ LH Securities วันนี้ เรียนฟรีคอร์สเทรดหุ้นออนไลน์
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่ พี่ทุยแนะนำให้เปิดบัญชีกับทาง LH Securities ผู้สนับสนุนหลักของ ซีรีส์ลงทุนหุ้นเป็นใน 30 วัน
เพราะทั้งสะดวก และให้บริการครบ สามารถจบในที่เดียวได้ ตั้งแต่เปิดบัญชี การสมัครบริการตัดเงินบัญชีอัตโนมัติ ไปจนถึงวางหลักประกัน LH Securities ก็มีให้บริการ และที่สำคัญคือสามารถทำทุกอย่างผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย สะดวกและง่ายมาก ๆ
สนใจเปิดบัญชีกับ LH Securities พร้อมดูขั้นตอนแบบละเอียด สามารถทำตามได้แบบ Step by Step คลิกที่นี่เลย
ยังไม่หมดแค่นี้ ! เปิดพอร์ตกับทาง LH Securities ตอนนี้รับสิทธิ์เข้าเรียนคอร์สเทรดหุ้นออนไลน์กันแบบฟรี ๆ กับ “คุณเคน – จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร , CFP ®” ผู้ร่วมก่อตั้ง Money Buffalo ของเรา ที่จะมาพาจับมือเทรดกันตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 100 ให้ โดยจะเน้นที่การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) วิเคราะห์กราฟกันแบบมันส์ ๆ พร้อมลุยตลาดจริงกันเลย
อ่าน EP ต่อไป
ย้อนกลับไปอ่าน EP ก่อนหน้านี้
ติดตามซีรีส์การเงิน “ลงทุนหุ้นเป็นใน 30 วัน” ตอนอื่น ๆ ได้ที่นี่